A Blogger by Beamcool

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเกย์

Monday, July 20, 2009

1.เกย์ไม่ใช่คนผิดปกติ

เกย์ไม่ใช่คนผิดปกติ วิปริตทางเพศ หรือมีความเป็นมนุษย์ต่ำต้อยกว่าคนอื่น แต่ที่เกย์หลายๆ คนรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยจนต้อง “แอบจิต” ก็เพราะกลัวว่าคนรอบข้างไม่ยอมรับนั่นเอง กลายเป็นปมด้อยที่เก็บงำไว้สุดฤทธิ์ … แต่การยอมรับของใครก็คงไม่สำคัญเท่าคนเป็นพ่อแม่ ถ้าพ่อแม่ยังอับอาย เห็นว่าการเป็นเกย์ของลูกเป็นจุดด่างพร้อยในครอบครัว ลูกก็คงไม่อาจยืดอกสู้หน้าใครได้

ลองอ่านงานวิจัยนี้. . .

* ผู้ชายร้อยละ 37 มีเซ็กซ์กับเพศเดียวกันอย่างน้อย 1 ครั้ง
* ร้อยละ 18 มีประสบการณ์ทางเพศทั้งกับคนเพศเดียวกันและเพศตรงข้าม
* ผู้ชายร้อยละ 4 มีเพศสัมพันธ์กับคนเพศเดียวกันตั้งแต่วัยรุ่น
* ถ้าลูกชายของเราเผอิญเป็นหนึ่งในนั้น ก็น่าจะถือว่าเป็นเรื่องปกตินะคะ

งานวิจัยเขายังกล่าวอ้างสมมุติฐานเรื่องเกย์อีกว่า สัตว์เกือบทุกชนิดมีพฤติกรรมทางเพศระหว่างเพศเดียวกันและยืนยันว่าไม่ใช่วัฒนธรรมสมัยใหม่ เพราะในดีตยุคโรมันก็มีพฤติกรรมรักร่วมเพศอย่างเปิดเผยและเป็นที่ยอมรับในสังคม

สังคมไทยในปัจจุบันก็ค่อนข้างเปิดใจยอมรับเรื่องนี้ อาจเป็นเพราะบ้านเราเป็นเมืองพุทธที่มีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และเข้าถึงธรรมชาติของ ชีวิตที่เต็มไปด้วยความแตกต่างหลากหลาย ซึ่งไม่ได้ลดทอนความเป็นมนุษย์ในตัวตนของคนๆ นั้นให้ด้อยลงไปแม้แต่น้อย เกย์ที่ประสบความสำเร็จมีชื่อเสียง ทำคุณประโยชน์ให้สังคมและประเทศชาติมีอยู่ให้เห็นมากมาย และอาจจะพูดได้ว่า เกย์มีพรสวรรค์บางด้านที่พิเศษกว่าชายจริงหญิงแท้ด้วยซ้ำ

2. เกย์ไม่ใช่โรค

พ่อแม่หลายคนเมื่อรู้ว่าลูกเป็นเกย์ พยายามพาลูกไปหาหมอรักษา แต่การเป็นเกย์ไม่ใช่[โรค]] จึงรักษาไม่ได้ นอกเสียจากว่าเขาจะมีปัญหาที่เกิดจากความกดดัน ความขัดแย้งภายในจิตใจที่เป็นเกย์ บางคนซึมเศร้าจนอาจถึงกับอยากฆ่าตัวตาย เพราะรู้สึกว่ากำลังทำสิ่งผิดธรรมชาติ คนรอบข้างไม่ยอมรับ ฯลฯ

3. เกย์ต้องการการยอมรับ

เกย์ หลายคนสารภาพว่า ความทุกข์ของเกย์คือการปิดบังตัวเอง ไม่ซื่อสัตย์ต่อตัวเองและคนอื่น ดังนั้นหากว่าวันใดวันหนึ่งลูกเกิดพบว่าตัวเองไม่ใช่ชายแท้ขึ้นมา เขาหวังว่าจะสารภาพกับพ่อแม่ได้ มาถึงตรงนี้ ใช่ว่าจะให้คุณพ่อคุณแม่เข้าไปคาดคั้นหรือจับผิดว่าลูกเราเป็นเกย์หรือเปล่า แต่เป็นการเตรียมทัศนคติที่ดี ขอให้รู้เถิดว่า การยอมรับของพ่อแม่และคนที่เขารักจะทำให้เขาเป็นคนที่สมบูรณ์ สามารถดำรงชีวิตอยู่อย่างมีความสุข ประสบความสำเร็จได้...แม้จะเป็นเกย์

ความเข้าใจผิดดังกล่าวนั้น นายแพทย์ยุงยุทธกล่าวว่าแบ่งเป็นหกข้อด้วยกันคือ

1. เข้าใจผิดว่ารักร่วมเพศเป็นวิปริตทางเพศ

ความ จริงคือ ไม่ใช่ คำว่า วิปริตทางเพศในปัจจุบันมีความหมายเพียงประการเดียวครับ คือ คนที่ได้มาซึ่งความสุขและความพึงพอใจทางเพศด้วยวิธีการที่สังคมไม่ยอมรับ เช่น ถ้ำมอง ชอบโชว์อวัยวะเพศ ชอบมีเพศสัมพันธ์กับเด็ก หรือมีเพศสัมพันธ์โดยทำร้ายฝ่ายตรงข้าม ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นปัญหาของชายรักร่วมเพศ อย่างไรก็ตาม คนวิปริตทางเพศในความหมายนี้ก็เกิดขึ้นได้ทั้งคนที่รักเพศเดียวกันและรัก เพศตรงข้าม

2. เข้าใจผิดว่า คนที่รักร่วมเพศต้องมีอารมณ์ฉุนเฉียว ก้าวร้าว ปากจัด

ความ เข้าใจผิดนี้ อาจจะมาจากคาแรกเตอร์ของตัวละครบางตัวในละครโทรทัศน์ แต่จากการศึกษาเกี่ยวกับบุคลิกภาพแล้ว เรื่องนี้ไม่เป็นความจริงโดยสิ้นเชิง ในเชิงวิชาการความเข้าใจผิดข้อนี้มักมาจากการศึกษาวิจัยที่มีอคติทั้งสิ้น เช่น ศึกษาวิจัยจากผู้ที่มาขอรับคำปรึกษาจากจิตแพทย์ แน่นอนนะครับคนที่มาหาจิตแพทย์นี่จะต้องมีความคับข้อ ทุกข์ยากในชีวิตอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่อาจกล่าวว่า เป็นตัวแทนของกลุ่มประชากรได้ เราไม่อาจพบความแตกต่างระหว่างคนรักเพศตรงข้ามและคนรักเพศเดียวกันในเรื่อง ดังนี้ คือ

- ข้อแรก เชาวน์ปัญญา ไม่มีใครฉลาดกว่าใคร โง่กว่าใคร

- ข้อ สอง บุคลิกภาพไม่มีใครมีบุคลิกภาพแปรปรวนมากกว่าใคร เพราะคนก้าวร้าวมีทั้งที่รักเพศตรงข้ามและ
รักเพศเดียวกัน คมกามวิตถารก็มีทั้งคนรักเพศเดียวกันและรักเพศตรงข้ามเช่นกัน"

3. เข้าใจผิดว่า คนที่รักเพศเดียวกันจะต้องแสดงออกให้เห็นได้ เช่น ห้าว หรือกระตุ้งกระติ้ง

รัก ร่วมเพศเป็นเรื่องพฤติกรรมส่วนตัวของคนเรา ซึ่งจะแสดงพฤติกรรมภายนอกออกมาหรือไม่ ไม่เกี่ยวกันครับ มีคนที่รักร่วมเพศเป็นจำนวนมากที่มีพฤติกรรมภายนอกตามแบบแผนปรกติของสังคม

4. เข้าใจผิด (ในทางบวก) ว่า คนที่รักร่วมเพศจะต้องมีลักษณะพิเศษ เช่น มีอารมณ์ละเมียดละไม เป็นคนเก่ง ฉลาดผิดปรกติ

นี่ก็ไม่เป็นความจริงอีกเช่นกันนะครับ คนที่รักร่วมเพศเป็นคนธรรมดา มีความสามารถต่างๆ นานาเช่นเดียวกับคนรักต่างเพศ

5. เข้า ใจผิดอย่างยิ่งว่า พฤติกรรมของคนรักร่วมเพศ ไม่ว่าจะเป็นท่าทางกระตุ้งกระติ้ง หรือห้าว เข้มแข็ง จะทำให้คนอื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กเกิดการเลียนแบบและเป็นตาม

ใน ทางจิตวิทยาพัฒนาการแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่คนเราจะโน้มเอียงไปทางความเป็นชายหรือหญิงตามพฤติกรรมคนอื่น ที่เห็นเพราะความเป็นชายและหญิง ในทางจิตวิทยามันลงหลักตั้งแต่วัยสามถึงห้าขวบ ดังนั้นที่กลัวกันว่าเด็กดูละครทีวีที่มีกะเทยแล้วจะทำให้เด็กกลายเป็นกะเทย นั้นไม่จริงเลย เช่นเดียวกับที่ครูเป็นกะเทยแล้วเด็กจะเลียนแบบก็ไม่จริง

6. เข้าใจผิดอย่างยิ่งว่า การยอมรับคนที่รักร่วมเพศเดียวกันหมายถึงการสนับสนุนให้มีการรักร่วมเพศอยู่ทั่วไป

หาก เข้าใจอย่างนี้ก็แสดงว่า ถ้าเรายอมรับคนพิการต่อไปเราจะพิการกันไปหมด ถ้ายอมรับผู้ติดเชื้อเอดส์ ต่อไปเราจะติดเชื้อเอดส์กันหมด มันเป็นไปไม่ได้นะครับ การยอมรับคือการเคารพในตัวเขา มีชีวิตอยู่อย่างเคารพซึ่งกันและกัน ซึ่งนั่นไม่ได้แปลว่าเป็นการสนับสนุนให้คนอื่นเป็นตามเขานะครับ ตรงกันข้าม การอยมรับทำให้ปัญหาไม่ซ่อนเร้นเมื่อได้รับการยอมรับ คนเหล่านี้ก็จะมีความรับผิดชอบต่อสังคมไม่สร้างปัญหาให้สังคม ส่วนการที่จะป้องกันไม่ให้คนเป็นรักร่วมเพศ ต้องเกิดจากการทำความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้อย่างถ่องแท้ซึ่งตลอดมา เนื่องจากการถูกรังเกียจเดียดฉันท์ ทำให้ความเข้าใจเรื่องนี้อยู่ในวงจำกัด เราทราบแต่เพียงว่า ปัจจัยที่สำคัญนั้นจะต้องป้องกันที่การเลี้ยงดูในวัยเด็ก โดยการส่งเสริมบทบาทที่เกื้อกูลกันและสัมพันธภาพที่ดีของคนเป็นพ่อแม่

ทั้ง สองข้อหลังเป็นประเด็นที่สำคัญมาก เพราะมีคนพยายามเสนอว่า สิทธิของบุคคลกับสิทธิของชุมชนจะขัดแย้งกันได้ไหมคือ หากยอมรับพฤติกรรมรักร่วมเพศ ซึ่งเป็นสิทธิส่วนบุคคลนั้นเท่ากับเป็นการละเมิดสิทธิของชุมชน โดยอ้างเหตุผลสองประการหลังที่ผมได้กล่าวไปแล้ว

อย่าง ไรก็ตามแม้จะมีความเข้าใจผิดข้างต้นอยู่ก็จริง แต่จากการศึกษาวิจัยของทั่วโลกก็พบว่า บุคคลที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศก็มีความเสี่ยงต่อปัญหาต่าง ๆ ได้แก่

* การพยายามทำลายชีวิตตนเอง
* การมีชีวิตคู่ที่ไม่ยั่งยืน
* การติดสารเสพย์ติด

ทั้ง สามประการนี้เป็นปัญหาสังคมนะครับ ไม่ได้เป็นความแปรปรวนหรือความผิดปรกติ หรือความวิตถารทางจิตเลย ทั้งสามประการนี้ เป็นผลมาจากการที่สังคมรังเกียจเดียดฉันท์ทำให้คนรักร่วมเพศต้องปิดขังตัว เอง อยู่อย่างด้อยศักดิ์ศรีและไร้คุณค่าในหลายกรณี ดังนั้นโดยตัวมันเองแล้ว เรียกว่า เป็นโรคแห่งความรังเกียจเดียดฉันท์ และในการศึกษาทางด้านจิตวิทยาสังคม เราก็พบว่า เมื่อเกิดการรังเกียจเดียดฉันท์ขึ้นที่ใด เช่น ผู้ติดเชื้อเอดส์ คนต่างผิว ต่างเชื้อชาติ ต่างศาสนา สามปัญหานี้ก็จะตามมาเช่นเดียวกันไม่ได้เกิดเฉพาะคนรักร่วมเพศเท่านั้น

ถ้า ไม่มีการรังเกียจเดียดฉันท์คนเราก็จะมีความสามารถในการปรับตัวมากขึ้น ไม่ต้องไปอยู่ในสถานการณ์พิเศษที่ต้องปรับตัวเป็นพิเศษ ซึ่งการปรับตัวนั้นอาจทำให้เข้มแข็งขึ้นก็ได้ หรือในทางตรงข้าม ถ้าปรับตัวไม่ได้ก็อาจนำไปสู่สภาพที่อาจต้องทำลายชีวิตตัวเอง ทำลายชีวิตคู่และใช้สารเสพย์ติด

ถาม ว่า การรังเกียจนี้มีผลอย่างไรต่อสังคม มีผลมากนะครับ เพราะทำให้เกิดอวิชชา เช่น เข้าใจผิดเกี่ยวกับเอดส์ ทำให้เรารังเกียจเอดส์ และนี่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เอดส์ขยายตัวแพร่หลายอย่างยิ่งทีเดียว

ที่มา : นิตยสารสารคดี

0 comments:

Post a Comment