A Blogger by Beamcool

สิ่งที่ควรรู้ก่อนสครับผิว

Friday, July 31, 2009

ใครที่ต้องสครับผิวเป็นประจำ วันนี้มีสิ่งที่ควรรู้ก่อนจะสครับผิวมาฝาก...

- สครับผิวสัปดาห์ละครั้ง

ความ ถี่ในการสครับผิวที่เหมาะสม คือ 2 สัปดาห์ครั้งสำหรับผิวธรรมดาในช่วงเย็นของวัน ส่วนผิวมันสครับได้บ่อยกว่า คือ สัปดาห์ละครั้ง และ สำหรับผิวแห้ง สามารถสครับผิวได้ 2-3 สัปดาห์ครั้ง คนเราจะผลัดเซลล์ที่ตายแล้วทุก ๆ 28 วัน การสครับออกไปแต่พอดี จึงช่วยเผยผิวใหม่ที่สะอาด น่ามองได้

- เลือกเนื้อสครับธรรมชาติ

สครับ เนื้อหยาบอาจทำให้ผิวถลอกได้ ทางที่ดีควรเลือกเนื้อบีทเล็ก ๆ ที่มาจากธรรมชาติอย่าง รำข้าว สารสกัดจากหม่อน เมล็ดมะขาม น้ำตาล เปลือกมะกรูด มะขามป้อม ตะไคร้ ฯลฯ ที่ช่วยขจัดเซลล์ผิวได้อย่างอ่อนโยน และยังช่วยเพิ่มคุณค่าให้ผิวอีกด้วย

- เลือกสมุนไพรให้เหมาะกับผิว

เพราะ สารสกัดที่ผสมในเนื้อสครับมีความแตกต่างกันไป สมุนไพรบางชนิดดีต่อผิวแห้ง เช่น น้ำผึ้ง แตงกวา ว่านหางจระเข้ ส่วนผิวมันและผิวมีสิวควรเลือกผลไม้รสเปรี้ยว เช่น มะยม มะเฟือง มะกรูด มะขาม เป็นต้น เพื่อให้สมุนไพรได้ดูแลผิวอย่างถูกต้อง

- เมื่อใกล้ออกแดด

เมื่อเตรียมจะไป เที่ยวทะเล ควรงดการสครับผิวก่อนออกแดดประมาณ 2 วัน เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวถูกแสงแดดทำลายมากเกินไป และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์การป้องกันแสงแดดทุก ๆ 4 ชั่วโมง รวมทั้งการสเปรย์ผิวให้ชุ่มชื่นตลอดการออกแดด

ถ้าจะสครับผิวครั้งหน้า ก็อย่าลืมนึกถึงคำแนะนำกันด้วย.

ที่มา : เดลินิวส์

วรพจน์รับเปลื้องผ้าถ่ายนู้ดลงหนังสือสีม่วง

Thursday, July 30, 2009




ฮือฮา กำปั้นฮีโร่โอลิมปิก วรพจน์ เพชรขุ้ม สลัดผ้าสวมบิกินี่ ถ่ายนู้ดลงหนังสือปลุกใจชาวสีม่วง เจ้าตัวยอมรับ มีเพื่อนรุ่นพี่มาชักชวนให้ถ่ายเป็นฉบับพิเศษเลยยอมตกลง มีข้อแม้ต้องเป็นผู้คัดรูปลงหนังสือด้วยตนเอง ยันเซฟสุดๆ ขนาดใส่กางเกงในสองชั้น และถ่ายในรีสอร์ตแถวปากช่อ งใกล้แคมป์ฝึกทีมชาติไทยนั่นเอง เชื่อไม่มีผลกระทบต่อการฝึกซ้อม ขณะที่ "โค้ชแซม" จ.ส.อ.กามนิตย์ นารีรักษ์ ยอมรับไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน รู้อีกทีก็ตอนหนังสือจะวางแผงแล้ว

เรื่องวาบหวิวของฮีโร่โอลิมปิก ที่ตัดสินใจเปลื้องผ้า จนเหลือแต่ชุดชั้นใน ถ่ายภาพลงนิตยสารนู้ดสำหรับเหล่าชาวสีม่วงครั้งนี้ ถูกตีแผ่ออกมา เมื่อนิตยสาร "สเตจ" ฉบับล่าสุด ซึ่งเป็นฉบับครบรอบ 3 ปี ที่กำลังวางแผงในเวลานี้ ได้นำภาพของ วรพจน์ เพชรขุ้ม นักมวยสากลสมัครเล่นทีมชาติไทย เจ้าของเหรียญเงินจากการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 28 ที่กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ พ.ศ.2547 ที่อยู่ในชุดกึ่งเปลือยในอิริยาบถต่างๆ รวมกันเกือบทั้งเล่ม สร้างความสุดสยิวให้กับบรรดาชายผู้รักไม้ป่าเดียวกันเป็นอย่างมาก
โดยหลังจากนิตยสารฉบับดังกล่าววางแผงไป ได้ก่อให้เกิดกระแสความคิดเห็นอย่างรุนแรง จากบรรดาคอกีฬาและพี่น้องประชาชนชาวไทย มีการโพสต์ข้อความทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย บ้างยังต่อว่าด้วยถ้อยคำที่รุนแรง ลงในเวปไซต์ต่างๆ อย่างมากมาย เนื่องจาก วรพจน์ เป็นนักกีฬาที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จ ถึงขั้นคว้าเหรียญเงินจากโอลิมปิก แต่กระนั้นยังส่งผลให้นิตยสารฉบับดังกล่าว มียอดจำหน่ายที่พุ่งกระฉูดนับตั้งแต่วันแรกที่วางจำหน่ายเลยทีเดียว
เมื่อผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยังนักชกหนุ่ม ได้รับการยอมรับว่าตนได้ถ่ายภาพลงในนิตยสารดังกล่าวจริง โดยได้รับการติดต่อจากเพื่อนรุ่นพี่ ที่เคารพนับถือกันคนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้มาชักชวนเพื่อให้ถ่ายภาพลงเป็นหนังสือฉบับพิเศษฉลองครบรอบ 3 ปี ของนิตยสารดังกล่าว
ด้วยค่าตัวที่ขอปิดเป็นความลับ และหลังจากที่ตกลงแล้ว จึงได้ทำการถ่ายภาพชุดดังกล่าว เมื่อประมาณหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ที่บริเวณรีสอร์ตแห่งหนึ่งที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ใกล้ๆ กลับศูนย์ฝึกซ้อมนักมวยสากลสมัครเล่นทีมชาติไทยนั่นเอง หลังจากนั้นทีมงานผู้ถ่ายจึงนำรูปทั้งหมดมาให้ตนเป็นผู้คัดเลือกภาพ ที่จะนำไปตีพิมพ์ด้วยตนเอง ตามที่ได้ตกลงกันไว้ตั้งแต่แรก
ทั้งนี้ วรพจน์ ยังกล่าวต่อไปว่า การถ่ายภาพชุดนี้ ตนรู้ว่าจะนำไปลงนิตยสารชื่ออะไร แต่ไม่รู้ว่าเป็นนิตยสารแนวไหน แต่การถ่ายภาพชุดนี้ ตนก็พยายามเซฟอย่างที่สุด โดยการใส่กางเกงชั้นในถึงสองชั้น เพื่อไม่ให้แสดงถึงอวัยวะส่วนต่างๆ ภายในร่มผ้าปรากฏมาให้เห็นอย่างชัดเจน
ส่วนรูปที่คัดไปให้ตีพิมพ์นั้น ก็ไม่ถือว่าโป๊เปลือยเพราะตามปกติตนเป็นนักมวย เรื่องสวมกางเกงชั้นในนั้น ก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ส่วนเรื่องผลกระทบที่จะตามมานั้น ตนเชื่อว่าคงไม่มี เนื่องจากเป็นคนละส่วนกับการฝึกซ้อมและแข่งขัน อีกทั้งหลังจากที่ถ่ายภาพชุดนี้แล้ว ตนก็กลับมาทำการฝึกซ้อมตามปกติ ตอนนี้ก็ยังซ้อมร่วมอยู่ในแคมป์ทีมชาติไทย ฟิตร่างกายอยู่เสมอ แม้ว่าจะไม่ติดทีมชุดไปแข่งขันเวิลด์แชมเปี้ยนชิพด้วยก็ตาม
ด้าน "โค้ชแซม" จ.ส.ต.กามนิตย์ นารีรักษ์ หัวหน้าสต๊าฟโค้ชทีมชาติไทย ก็ยอมรับว่าตนเองนั้นไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า วรพจน์ แอบไปถ่ายภาพชุดนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ มารู้อีกครั้งตอนหนังสือออกวางแผง และพรรคพวกโทรศัทพ์มาบอก และบรรดาเพื่อนๆ ในค่ายพูดจาแซวนักชกหนุ่มกันเท่านั้น
ซึ่งตอนนี้ตนยังไม่ได้รับการสอบถามจาก พล.อ.ทวีป จันทรโรจน์ นายกสมาคมมวยสากลสมัครเล่น แต่อย่างไร สำหรับเรื่องดังกล่าวถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของ วรพจน์ ซึ่งเขาเองก็โตแล้ว ทำอะไรลงไปต้องมีความรับผิดชอบต่อตนเองอยู่แล้ว



ซุปถุงยาง

แคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ ร้านอาหารแห่งหนึ่งเสิร์ฟเมนูสุดพิสดาร ‘ซุปถุงยาง’ สร้างความไม่พอใจให้กับลูกค้าดวงตกรายนั้นเป็นอันมาก

ฟิ ลิป ลูกค้าผู้โชคร้ายยืนยันว่า ผมเข้าไปนั่งที่ร้านอาหารแล้วสั่งซุปหัวหอมสไตล์ฝรั่งเศส ต่อมาพนักงานยกมาเสิร์ฟให้ผม ด้วยความหิวและไม่อยากให้ซุปร้อน ๆ เย็นชืดเสียรสชาติ ผมก็รีบตักน้ำซุปพร้อมเนื้อหัวหอมและชีสนุ่ม ๆ เข้าปาก

แต่ เมื่อเคี้ยวไปได้ 2-3 ครั้ง ผมก็รู้สึกถึงความแปลกของเนื้อหัวหอมและชีส เพราะรสสัมผัสของทั้งสองสิ่งนั่นช่างแตกต่างไปจากทุกครั้งที่เคยรับประทาน

ฟิลิป ตัดสินใจคายส่วนที่เขาคิดว่าเป็นหัวหอมและชีสออกมาดู เมื่อใช้ช้อนเขี่ย ๆ ก็ถึงกับอึ้ง! เพราะชิ้นส่วนดังกล่าว คือ ‘ถุงยางอนามัย’ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าผ่านการใช้งานมาแล้วหรือไม่

เมื่อ เห็นดังนั้น ความพะอืดพะอมลมตีกลับก็เกิดขึ้นโดยพลัน ซุปที่เพิ่งใส่ปากไปเพียงคำเดียวก็พร้อมที่จะพวยพุ่งออกจากปาก ขณะเดียวกัน ฟิลิป กวักมือเรียกพนักงานและแจ้งเรื่องให้ทราบก่อนเรียกทนายความมาหารือ และยื่นฟ้องต่อศาลให้นำถุงยางในซุปไปตรวจหาดีเอ็นเอ เพื่อเทียบดูว่าตรงกับดีเอ็นเอของพนักงานคนใด แต่ผลการตรวจกลับไม่พบว่าดีเอ็นเอนั้นตรงกับใครในร้านสักคน

ด้านฟิลิป ก็รีบไปตรวจร่างกายอย่างละเอียด เพราะเกรงจะติดโรคร้ายจากซุปถุงยาง.

ที่มา : เดลินิวส์

ตำรวจจับคู่ขาฆ่า “เกย์” ทิ้งสุวรรณภูมิ

Wednesday, July 29, 2009

จากกรณีเกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงชายไม่ทราบชื่อเสียชีวิตข้างโรงไฟฟ้า สนามบินสุวรรณภูมิ ต. ราชาเทวะ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ พบศพเมื่อกลางดึกวันที่ 18 ก.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งต่อมาเจ้าหน้าที่สืบทราบมาว่าชายคนดังกล่าวคือ นายบุญเกิด จอมใจ อายุ 36 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ มีอาชีพขายเสื้อผ้าในห้างซีคอนสแควร์ และมีนิสัยชอบไม้ป่าเดียวกัน โดยผู้ตายมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับนายมานิต หรือ “เล็ก”นิมิตพงศ์ อายุ 35 ปี ผู้จัดการบริษัทส่งออกเสื้อผ้าชื่อดังแห่งหนึ่งซึ่งเป็นคู่ขา และหลังเกิดเหตุนายมานิตก็ได้หาย ตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ทั้งนี้ มีพยานยืนยันว่าก่อนที่นายบุญเกิดจะถูกฆ่า มีคนเห็นนายมานิต มาหาผู้ตายแล้วพากันขับรถออกไป จนกระทั่งกลายเป็นศพ เจ้าหน้าที่จึงรวบรวมหลักฐานขออนุมัติหมายจับจากศาลสมุทรปราการ ที่ 463/2552 ติดตามจับกุมนายมานิต ตามที่เสนอไปนั้น

ตำรวจจับคู่ขาฆ่า "เกย์" ทิ้งสุวรรณภูมิ

ความคืบหน้าเรื่อง นี้ เริ่มเมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 26 ก.ค. พล.ต.ต.ชิษณุพงศ์ ยุกตะทัต ผบก.ภ.จว.สมุทรปราการ พ.ต.อ.ธีระเดช ภาณุรักษ์ ผกก.สภ.ราชาเทวะ พ.ต.ท.อรรถพล อนุสิทธิ์ รอง ผกก.สส. นำกำลังฝ่ายสืบสวนเข้าจับกุมนายมานิต เอาไว้ได้ในขณะหลบหนีไปกบดานอยู่ที่ห้องเช่าแห่งหนึ่ง ภายในหมู่บ้านศรีชัย ซอยประชาอุทิศ 33 แขวง-เขตทุ่งครุ กทม. จึงนำตัวมาสอบสวนที่สภ.ราชาเทวะ

จาก การสอบสวนนายมานิต ให้การรับสารภาพว่า เป็นคนฆ่าผู้ตายจริง โดยตนกับผู้ตายรู้จักและมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งมาได้ประมาณ 6 ปีแล้ว ที่ผ่านมา จะนัดแนะมีความสัมพันธ์กันที่ห้องพักของตน และตนได้ให้เงินทองผู้ตายใช้ตลอด โดยผู้ตายมีนิสัยซาดิสม์ เวลาร่วมหลับนอนมักชอบทำรุนแรง หากตนไม่ตามใจก็จะถูกขู่ฆ่า จนกระทั่งวันเกิดเหตุผู้ตายได้โทรศัพท์มาหา พร้อมชักชวนไปดูหนัง ตนจึงขับรถเก๋งมาสด้า 3 สีขาว ทะเบียน ชศ 8309 กทม. ไปรับที่ห้างซีคอนฯ แต่เมื่อเจอกัน ผู้ตายกลับให้ตนขับรถเข้ามาในสนามบินสุวรรณ ภูมิ พอขับมาถึงข้างโรงไฟฟ้า ผู้ตายจึงให้ตนจอดรถ แล้วชักชวนให้ออกมาร่วมหลับนอนกันตรงนั้น แต่ตนไม่กล้า จึงถูกผู้ตายข่มขู่ชักมีดคัตเตอร์ออกจากกระเป๋ากางเกงตรงเข้ามาทำร้าย ด้วยความกลัวตนจึงคว้าอาวุธปืนที่เก็บไว้ในลิ้นชักหน้ารถออกมายิงใส่ผู้ตาย 2 นัด แล้วหลบหนีไป ระหว่างหลบหนีได้โยนอาวุธปืน 9 ม.ม. ทะเบียน กท.5026911 ที่ใช้ก่อเหตุ ทิ้งลงน้ำที่คลองลัดโพธิ์ ต.ทรงคะนอง เขตอ.พระประแดง เจ้าหน้าที่จึงตามไปงมยึดเอาไว้เป็นของกลาง ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อกล่าวหา ฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา ควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวนสภ.ราชาเทวะ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ที่มา : ข่าวสด

9 เทคนิครู้ทันจอมโกหก

Tuesday, July 28, 2009

ผู้ชายของคุณบาง ครั้งก็ไม่รู้ตัวว่า ท่าทางหรือกิริยาบางอย่างของเขากำลังเผยพิรุธให้สาวๆขับโกหกได้มากเพียงใด เพราะบางครั้งสาวๆเองก็ไม่ทันได้สังเกต ดังนั้นวันนี้ มี 9 เทคนิคง่ายๆมาฝากคุณผู้อ่านสำหรับจับสังเกตอาการโกหกของผู้ชายของคุณมาฝาก

ข้อที่ 1 สังเกตที่ขาของเขาดีๆ ยางทีอาจมีความลับอะไรซ่อนอยู่

ดู ให้ดีว่า ระหว่างที่คุณกัน หากหนุ่มๆของคุณนำขาไปไขว้ไว้ด้านหลังหรือรอบๆเก้าอี้ที่นั่งอยู่ นั่นแสดงว่าหนุ่มๆของคุณกำลังตั้งใจหรือมีวัตถุประสงค์จะเก็บซ่อนอะไร บางอย่างไว้ โดยเฉพาะความจริง

ข้อที่ 2 การนิ่งเงียบ

เมื่อ ไหร่ก็ตามที่คุณถามคำถามที่แสนจะธรรมดา หรือถามอะไรตรงๆบางอย่างกับเขา เช่น “เมื่อคืนคุณไปไหนมา” หรือ “คุณกำลังโกหกอะไรฉันอยู่” ถ้าเขาเลือกที่จะเงียบหรือเลือกที่จะทวนคำถามอีกครั้งหนึ่งก่อนตอบ นั่นแสดงว่าเขากำลังมีสิ่งผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้น

ข้อที่ 3 นิ้วหันแม่มือ หรือนิ้วโป้งจอมทรยศ

ถ้า เขายืนอยู่ในท่าที่เอาฝ่ามือซุกกระเป๋าแล้วหล่ะก็ ให้คุณสังเกตก่อนเลยว่า นิ้วหัวแม่มือของเขาอยู่ด้านในหรือด้านนอกกระเป๋า ถ้าอยู่ด้านใน นั่นแสดงว่าเขากำลังรู้สึกตะหนกกับอะไรบางอย่าง ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับคุณแล้วหล่ะว่าจะตีความว่าเพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น

ข้อ 4 เขาไม่สามารถโกหกได้หากต้องลำดับเหตุการณ์แบบย้อนหลัง

ถ้า คุณรู้สึกว่ากำลังเผชิญกับคนที่เล่าเรื่องให้คุณฟังแบบมีท่าทีน่าสงสัย ให้คุณพยายามถามคำถามกดดันเขาเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นแบบไม่เรียบลำดับ เหตุการณ์ หรือสับไปสับมาจากหน้าไปหลัง เพราะสำหรับคนที่พูดโกหกนั้นจะสามารถเล่าเรื่องตามลำดับ a b c d ได้เป็นอย่างดีไม่ติดขัด แต่ถ้าใหโกหกแบบ d c b a คงเป้นไปไม่ได้เลย

ข้อ 5 อาการยักไหล่

ถ้า หนุ่มๆกำลังพูดถึงบางสิ่งบางอย่างที่ดูหนักแน่น จริงจัง เช่น “ผมอยู่กับเพื่อนของผมเมื่อคืนนี้” พร้อมกับยักไหล่ไม่ว่าจะข้างนึงหรือสองข้าง แล้วมองไปทางอื่น กิริยาท่าทางแบบนี้เป็นการบ่งบอกว่าเขารู้สึกไม่รับรู้หรือให้คำมั่นกับสิ่ง ที่พูดไป

ข้อ 6 คำว่า “แต่” เกิดขึ้นมากมายระหว่างการสนทนาของเรา

ลอง ดูประโยคเหล่านี้ “ผมรู้ว่าคุณคงคิดว่าเป็นเรื่องแปลก แต่...” หรือ “คุณต้องไม่เชื่อแน่ว่าจะเกิดสิ่งนี้ แต่...” ขอให้รู้ว่าคำพูดใดๆที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ เป้นการโกหกคำโต

ข้อ 7 ลิ้นไม่สามารถอำพรางคำโกหก

ถ้า คุณถามคำถามบางข้อกับใครบางคน แล้วทันใดนั้นเขาก็ตวัดลิ้น หรือเลียริมฝีปากก่อนตอบ นั่นแสดงว่าเขากำลังพยายามหาทางหลีกเลี่ยงการตอบคำถามนั้น

ข้อ 8 เขาพยายามจ้องตาคุณมากจนผิดสังเกต

บาง ครั้งคนโกหกก็มักจงใจที่จะจ้องตาคุณในระหว่างตอบคำถามเพื่อแสดงถึงความจริง ใจและความบริสุทธิ์ใจในการตอบคำถาม ดังนั้น คุณต้องพยายามพิสูจน์และหาให้ได้ว่าเขาไม่ได้โกหก

ข้อ 9 การใช้มืออำพราง

ส่วน ใหญ่คนที่โกหกมักไม่ต้องการให้คุณตรวจพบความผิดปกติในตัวเขาได้ชัดเจน ดังนั้นเขาจะใช้วิธีเอามือมาปกปิดใบหน้า เช่น จับจมูก ขยี้ตา หรือจับคาง ทั้งนี้เพื่อต้องการบิดเบือนคำพูดที่ออกมาปากของเขา

ที่มา : yahoo.com

คู่รักตำรวจเกย์ ได้ลูกชายสมใจอยาก


เป็นที่ฮือฮาอีกครั้งสำหรับคู่รักเพศที่สาม หลังจากที่คู่ทอม-ดี้ เคยประสบความสำเร็จในการมีลูกมาแล้ว ครั้งนี้ก็เป็นคราวของคู่เกย์ชาวอังกฤษกันบ้างที่ได้ลูกชายจากการอุ้มบุญของ พี่สาวเมื่อไม่นานมานี้

กลายเป็นคู่เกย์ คู่แรกของอังกฤษไปแล้ว เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่ม สตีฟ พอนเดอร์ วัย 28 ปี และคู่รักอย่าง อีวาน ซิกซ์ตัน อดีตนายทหารวัย 48 ปี ที่เพิ่งได้ลูกชายชื่อวิลเลียมเพื่อมาเติมเต็มสำหรับครอบครัวของพวกเขา โดยอาศัยการอุ้มบุญของลอร์น่า แบรดเลย์ ซึ่งเป็นพี่สาวของพอนเดอร์

ทั้งนี้ ก่อนหน้าที่แบรดเลย์วัย 31 ปี จะตัดสินใจอุ้มบุญให้น้องชาย เธอมีลูกอยู่แล้ว 3 คน ซึ่งการตัดสินใจอุ้มบุญในครั้งนี้เป็นเพราะเธออยากให้ของขวัญกับคู่นี้ โดยการนำเชื้อของซิกซ์ตัน ที่ตอนนี้เป็นตำรวจฝึกสุนัขมาผสมเทียมเพื่อเข้าสู่กระบวนการอุ้มบุญ ซึ่งในระหว่างการผสมเทียมนั้น ทางด้านแดร์เร็น สามีวัย 34 ปีของแบรดเลย์ได้อยู่คอยให้กำลังใจเธอตลอดเวลา

อย่างไรก็ดี เมื่อครบกำหนดคลอด ลูกๆทั้งสามของเธอต่างอยู่คอยให้กำลังใจกันตลอดเวลา ซึ่งเธอได้ให้กำเนิดเด็กอุ้มบุญคนนี้ในวันที่ 11 ก.ค. ที่ผ่านมา โดยเธอเลือกที่จะคลอดที่บ้าน

และหลังจาก 48 ชั่วโมงผ่านไป แบรดเลย์ค่อนข้างมีความสุขมากที่ได้ให้กำเนิดเด็กคนนี้อย่างปลอดภัย โดยเด็กชายคนนี้มีชื่อเต็มๆว่า วิลเลียม แคมพ์เบลล์ พอนเดอร์-ซิกซ์ตัน

จาก การสอบถามเพื่อนๆของพวกเขาทั้งคู่ พบว่า คู่รักนายตำรวจคู่นี้เตรียมตัวและหาข้อมูลในการที่จะหาวิธีการอุ้มบุญ เพราะเขาทั้งคู่อยากมีลูก ผู้เปรียบเสมือนส่วนเติมเต็มให้กับครอบครัวได้เป็นอย่างดี โดยทั้งคู่หวังว่า อยากจะมีลูกเพียงเพราะอยากให้ลูกอยู่กับเขาในเซาท์แธมป์ตันเท่านั้น

ส่วนการให้สัมภาษณ์ของพ่อมือใหม่ทั้งคู่นี้ เขายังไม่พร้อมที่จะให้สัมภาษณ์ใดๆทั้งสิ้น แต่พอนเดอร์ได้ไปอัพเดทข้อมูลในเว็บไซต์ ‘เฟสบุ๊ค’เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า

“ผมมีความสุขมากเมื่อผมได้เป็นพ่อ ชีวิตมันเป็นเหมือนอย่างที่ผมต้องการ”

ซึ่งหลังจากที่แบรดเลย์คลอดลูกได้เพียงสองสัปดาห์ พอนเดอร์ได้เข้าไปขอบคุณพี่สาวของเขาผ่านทางเฟสบุ๊คอีกครั้งว่า

“ผม ยังคงไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นเลย เพราะสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นมันสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนเราได้มากมาย จริงๆ โดยเฉพาะพี่ ผมอยากขอบคุณพี่อีกครั้งครับ ขอบคุณมากๆ พี่คงรู้นะครับว่าพี่เป็นใคร อยู่ในฐานะไหนสำหรับวิลเลียม”

ทางด้าน แบรดเลย์ เผยว่า ค่อนข้างตกใจที่เรื่องราวการอุ้มบุญของเธอในครั้งนี้กลายเป็นเรื่องราวที่ น่าสนใจ ซึ่งเธอเองยอมรับว่า เธอเป็นอีกหนึ่งคนที่ยังไม่พร้อมที่จะให้สื่อไหนๆสัมภาษณ์ เธอขอเวลาในการเตรียมตัวและคิดก่อนที่จะพูดออกสื่อต่างๆให้ดีก่อน



“ฉันต้องการปรึกษาครอบครัวของฉันก่อน เพราะเรื่องนี้มันกลายเป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก ไม่คิดว่าจะมีคนสนใจขนาดนี้ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่เราและทุกคนในครอบครัวควคิดให้รอบคอบก่อนตัดสิน ใจให้สัมภาษณ์ออกไป”

อย่างไรก็ดี เธอกล่าวเพียงว่า เพื่อนสนิทของเธอคนหนึ่งยินดีที่จะช่วยน้องชายเลี้ยงดูวิลเลียมอีกแรงหนึ่งด้วย

“มัน เป็นความรักที่บริสุทธิ์ระหว่างพี่-น้อง ที่เธอมีให้น้องชายอย่างเต็มเปี่ยม สิ่งที่แบรดเลย์ได้ทำลงไปนั้น ขอบคุณเท่าไหร่ก็ไม่สามารถขอบคุณเธอได้หมดจริงๆ เพราะสิ่งที่เธอตัดสินใจทำนั้น มันเป็นสิ่งที่มีค่ามากมายเหลือเกิน” เพื่อนสนิทคนดังกล่าว เสริม

ส่วนในสูติบัตรของวิลเลียมนั้น แบรดเลย์เป็นผู้เดียวที่ทางงานทะเบียนลงชื่อให้ ในฐานะแม่ ซึ่งหมายความว่า แบรดย์กลายเป็นผู้มีสิทธิ์ทางกฏหมายในตัววิลเลียมอย่างถูกต้อง ขณะที่พ่อทั้งสองไม่มีสิทธิ์ในตัวลูกเลย

ทั้งนี้ สังคมชาวสีม่วงในปัจจุบัน หลังจากที่มีการเปิดเผยและได้รับการยอมรับจากคนในสังคมมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน และเมื่อสังคมยอมรับกอรปกับเทคนิคทางการแพทย์ที่สามารถทำวิธีอุ้มบุญได้นั้น ยิ่งทำให้คู่รักเหล่านี้มีโอกาสที่จะสร้างครอบครัวโดยมีเด็กตัวเล็กๆเป็น ส่วนเติมเต็มได้ไม่ยากนัก ซึ่งกฏหมายในอังกฤษถือว่า การอุ้มบุญสำหรับครอบครัวชาวเกย์ไม่ผิดกฏหมายแต่อย่างใด

เรียบเรียงจาก เดลิเมล์
ขอบคุณข้อมูลจากผู้จัดการออนไลน์

อะไรคืออุปสรรค รัก?

Monday, July 27, 2009

เวลาคนเราเป็นแฟน กัน ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จและสมหวัง "รักแล้วรักเลย" ไปซะทุกคู่ ว่ามะ ฮี่โธ่ ยังเคยเห็นตัวอย่างมาหลายคู่เลยที่รัก... รัก...รักอยู่วันเนี้ย แต่เผลอแป๊บเดียว...เอ้า ไหงเลิกกันซะแล้วล่ะ เอ้...เป็นงี้ได้ไงฟะ แต่บ่นไปงั้นหรอกนะ ใครจะรักจะเลิกกันก็เชิญเถอะจ้า

มาลองพิจารณาสังคม ทุกวันนี้ดูดิ่ รู้สึกกันมั่ง รึเปล่าว่า มีสิ่งที่ทำให้แฟนถอยห่างจากกันง่ายเหลือเกิน จึงทำให้ใจคอของพวกเรา (บางคน) ไม่ค่อยอยู่กะเนื้อกะตัว ไม่มั่นคงในรัก คบกันไม่ค่อยยืด แถมบางรายยังชอบปล่อยตัวเผลอไผลไปชอบใจใครๆ แบบทีเดียวหลายคนซะด้วยสิ

เพราะคงไม่มีแฟน คู่ไหนจี๋จ๋าประสารักกันด้วยความราบรื่นตลอดเวลาแหงๆ บางคราคงต้องมีมั่งอ่ะที่ไม่เข้าใจกัน, พูดไม่ถูกหู หรือพูดกันไปพูดกันมา ตอนเริ่มต้นก็พูดภาษาดอกไม้กันดีหรอก แต่ปิดท้าย...ว้าย! ทำไมฟังแล้วแสลงหูจังฟะ เห็นมะโอกาสที่แฟนกันจะเข้าใจผิดน่ะมีเยอะเนอะ

อ่ะ งั้นมาไล่เรียงกันดูเถอะ ว่ามีตัวการอะไรบ้างน้าที่สามารถสั่นคลอน ความรักของคู่เลิฟให้ (เกือบ) ไปกันไม่รอดได้บ้าง เช่น......

1.มีพวกยุให้รำตำให้รั่วอยู่รอบๆ ตัวคู่รักไงเล่า

สงสัยคู่ของเราจะ เป็นคู่กรรมแฮะ เพราะคนที่อยู่รายล้อมรอบเราน่ะเสล่อชอบสอดรู้ สอดเห็นเรื่องชาวบ้าน แถมแค่นี้ยังไม่พอซะด้วยนะ ยังชอบวิพากษ์วิจารณ์คู่ของเราแบบเสียๆหายๆ ซึ่งไอ้เรื่องที่นำมาพูดน่ะ ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องปั้นน้ำ เป็นตัวทั้งนั้นแหละ หรือถ้ามีความจริงอยู่มั่งก็นิดหน่อย

เหตุนี้ต่อให้ใจ ของคู่รักมั่นคงต่อกันเพียงใด แต่หากเผลอไผลไปได้ยินได้ฟังไอ้พวกไม่ประสงค์ดี ต่อคู่รักคู่นั้นบ่อยๆ เป็นใจใครก็ต้องหวั่นไหวมั่งละน่า

แล้วสงสัยไหมว่า ทำไมพวกบ้าบอคอแตกเหล่านี้ถึงอยากทำให้คู่ของเราแตกแยกกันนัก? ปุจฉาข้อนี้ก็ง่ายมาก เพราะ พวกนี้เห็นคนอื่นมีความสุขไม่ได้น่ะซี ต้องคอยอิจฉาริษยาคอยตามรังควานไม่ให้คู่รักคู่นั้นแฮปปี้ เอนดิ้ง ไม่งั้นเดี๋ยวพวกนี้จะอกแตกตายกันละมั้ง ถึงต้องคอยเป็นมาร คอหอยและมารความรักคนอื่นเค้าอยู่ได้ ดังนั้น ใจคอของคู่รักจึงต้องหนักแน่นเอาไว้นะจ๊ะ ขืนเต้นไปตามแรงอิจฉาของพวกนี้ ก็เสร็จกันพอดี

2. มีมือที่ 3 โฉบเฉี่ยวเข้ามายั่วกิเลสให้เบรกแตกกันไปข้าง

ไอ้หยา ถ้าขืนความรักของคุณถูกพวกชอบตื๊อ เข้ามากวนประสาททำลายบรรยากาศรักละก็ คู่รักคู่นั้นควรตั้งสติเพื่อรับมือกับ "พวกชอบแย่งแฟนชาวบ้าน" ร่วมกันให้ดีๆนะฮ้า อย่าปล่อยให้พวกชอบทำตัวเป็นมือที่สามใช้มารยาทำทีมากระแซะกระเซ้าและหลอก ล่อให้สมาธิของคู่รักฝ่ายใดฝ่ายนึงไขว้เขวหรือตบะแตกเข้าล่ะ เพราะหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหลงละเมอไปกะไอ้พวกนี้เพียงครั้งเดียวละก็ คิดรึว่า ต่อไปอีกฝ่ายจะเชื่อใจคู่รักของตัวเอง...ไม่มีทาง! ดังนั้น หากคู่รักคู่ใดเจอ "พวกชอบรักคนมีเจ้าของ" เมื่อไหร่ ต้องช่วยกันปิดหูปิดตาตัวเอง ไว้ดีๆ อย่าให้มันยั่วยวนจนเอาชนะกิเลสไปได้เชียว

3. ฐานะของคู่เลิฟที่แตกต่างกันจนเว่อร์ ก็อาจทำให้ไปกันไม่รอดได้

เอ้าคิดดูนะ ถ้าฝ่ายชายเป็นหนุ่มชาติตระกูลดี แถมครอบครัวมีตังค์ เกิดไปจับคู่กับสาวชาวบ้านขาย ส้มตำน้ำตกเข้า รับรอง ครอบครัวของพวกเค้าเองนั่นแหละที่จะอึดอัดกับความรักของคู่นี้ โดยเฉพาะครอบครัวของฝ่ายชาย คงพยายามเบรกลูกชายไว้สุดฤทธิ์ เพราะอยากให้ไปรักคนที่มีฐานะใกล้เคียงกับพวกเค้ามากกว่าน่ะเซ่ แต่ว่าไปถ้าเกิดฝ่ายหญิงรวยโคตรเป็นไฮโซละก็ แปลกแฮะที่ฝ่ายชายมัก ได้รับการยอมรับให้เป็นแฟนง่ายกว่าแฮะ ถ้างั้น เวลาจะคว้าใครมาเป็นแฟนควรดูตาม้าตาเรือสักนิดก่อนว่า ไม่ได้มีฐานะต่างกันสุดขั้วเกินไปแน่นะ ไม่งั้นเดี๋ยวรักของคู่นี้จะมีปัญหา เตือนเพราะรักจริงๆนะน้อง

4. แล้วถ้ารักแท้เกิดแพ้ระยะทางขึ้นมาล่ะ ก็มีสิทธิ์ทำให้แตกกระเจิงกันได้

เวลามีความรัก ขอบอกเลยจ๊ะว่า อย่าพยายามแยกห่างจากกันแบบไปอยู่ไกลหูไกลตากันนานๆ... ขอเน้นคำว่าห่างกันนานๆ เชียวนะ เพราะคู่ที่ห่างกัน ด้วยระยะทางเนี่ย มีความเป็นไปได้มากน่ะสิว่า แต่ละฝ่ายจะไปเจอสิ่งใหม่ๆ, บรรยากาศใหม่ๆ, แม้แต่คนใหม่ๆ จนทำให้ "ความรักที่ไม่ค่อยได้เห็นหน้าค่าตากัน" อ่อนพลังลงไปจนแทบไม่เหลือความผูกพันให้กันแล้วน่ะซี

5. ช่องว่างระหว่างวัย ถ้าห่างกันมากไปอาจไม่ใช่รักแท้ก็ได้

เพราะรักต่างวัย ดูไปคล้ายกับผู้ใหญ่แอบมีกิ๊กหรือเลี้ยงเอ๊าะๆไว้เล่นๆซะมากกว่าน่ะสิ แต่แหม เรื่องนี้จะให้ฟันธงไปซะทุกคู่ก็ไม่ได้ เนื่องจากบางคนเค้าชอบมีคู่ใจที่อายุมากกว่าหรือน้อยกว่ากันจริงๆก็มีนี่ หว่า โถ...ขอให้ใจเราตรงกัน เรื่องอายุมันก็แค่ตัวเลข 555

6. วันหยุดที่ไม่ตรงกัน แล้วจะแสดงความรักให้ซึ้งใจกันได้ไงวุ้ย

ถ้าคุณทำงานเป็นกะ ส่วนเค้าทำงานตามเวลาราชการ แล้วคุณทั้งสองก็มีวันหยุดไม่ตรงกันซะด้วย เพราะเค้าอาจได้หยุดวันเสาร์อาทิตย์ เดะๆ ส่วนวันหยุดของคุณมีการหมุนไปเป็นวันธรรมดาซำเหมอ นี่ก็เป็นอีก 1 อุปสรรครักนะยะที่ทำให้พวกคุณ ไม่ค่อยมีเวลาส่วนตัวที่จะหนุงหนิงกันเหมือนคู่รักคู่อื่นๆ

ดังนั้น เวลาที่พวกคุณจะได้อี๋อ๋อออเซาะกันแต่ละทีก็ต้องนัดกันให้ดีๆ เพราะเวลาที่มีแตกต่างกัน นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะปรับเข้ากันได้ง่ายๆ เลยนะ เหตุนี้ ความเข้าอกเข้าใจกันจึงเป็นสิ่งจำเป็น แต่บางคู่ก็บอกชอบนะที่มีเวลาไม่ตรงกันอย่างนี้ เพราะจะได้ไม่เบื่อหน้ากันอย่างรวดเร็วไง! งั้นขอให้เลิฟกันนานๆ นะ

ที่มา : ไทยรัฐ

แฉ “ไมเคิล แจ็คสัน” มีคู่ขา “เกย์” หลายคน

Sunday, July 26, 2009

ราชาเพลงป๊อปมีคู่ขาเป็นเกย์หลายคน แถมยังชอบแต่งหญิงไปเดทกับหนุ่มๆเพื่อพรางตัว

michael jackson ไมเคิล แจ็คสัน

ขณะที่พ่อของไมเคิลมีแผนจะปั้นลูก 3 คนของราชาเพลงป๊อปออกอัลบั้มโดยใช้ชื่อวงว่า เดอะ แจ็คสัน 3 หนังสือพิมพ์เดอะซันของอังกฤษรายงานเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคมว่า นายเอียน ฮัลเพริน นักเขียนชีวประวัติคนดัง ได้ออกหนังสือเล่มใหม่แฉพฤติกรรมทางเพศของ ไมเคิล แจ็คสัน ว่ามีคู่ขาเป็นหนุ่มๆหลายคน แถมยังแต่งตัวเป็นผู้หญิงออกจากบ้านตอนเที่ยงคืนเพื่อไปออกเดทกับหนุ่มๆ เหล่านี้ที่มีทั้งพนักงานเสิร์ฟในฮอลลีวู้ด และหนุ่มที่หวังจะเป็นดารา หนังสือเล่มนี้ที่มีชื่อว่า ถอดหน้ากาก

ที่มา : คมชัดลึก

ลุยค้นบาร์เกย์เมืองพัทยาพบ เด็ก ผู้ชาย เต้นอะโกโก้

Saturday, July 25, 2009

เมื่อเวลา 23.00 น. วันที่ 19 ก.ค. 52 ร.ต.ท.จำรัส จินดาหลวง รอง สวป.สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี นำตำรวจนอกเครื่องแบบพร้อมกำลังอาสาสมัครจำนวนหนึ่งเข้าตรวจสอบ ร้านวายทูเค ลุค บอยคลับแอนด์อะโกโก้ เลขที่ 273/109 ซอยสุนีย์พลาซ่าหรือซอยบาร์เกย์ ย่านพัทยาใต้ ม.10 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี หลังทราบว่าร้านอะโกโก้ดังกล่าวนำชายที่อายุต่ำกว่า 20 ปี มาเป็นพนักงาน และมั่วสุมเสพยาเสพติด

จากการตรวจสอบพบร้านดังกล่าวเป็นร้านบารเบียร์ของกลุ่มเกย์หรือนักเที่ยว รักร่วมเพศ มีพนักงานชาย 25 คนนุ่งกางเกงในเพียงตัวเดียว ยืนเต้นโชว์หวิวอยู่บนฟอร์ มีแสงไฟส่องสลัวประกอบเพลงโรเมนติค รอบด้านมีนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติจิบเบียร์ฟังเพลงนั่งชมการเต้นอยู่ แน่นร้าน เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวพร้อมขอความร่วมมือปิดเพลงและตรวจสอบสิ่งผิดกฎหมาย พร้อมคุมตัวพนักงานเต้นโชว์ทั้งหมด ตรวจสอบปัสสาวะเพื่อหาสารเสพติด ซึ่งผลจากการตรวจสอบพนักงานเต้น 25 คน พบมีฉี่สีม่วง 14 คนและอายุต่ำกว่า 20 ปีอีกด้วย ตำรวจจึงจับกุมตัวไว้

เบื้องต้นทราบว่านายสุ วิรัตน์ ประดิษฐ์ค่าย อายุ 21 ปี รับเป็นผู้ดูแลร้าน ส่วนเจ้าของร้านที่ขออนุญาตเปิดกิจการร้านชื่อนายบูรินทร์ เกชทอง อายุ 47 ปี อยู่บ้านเลขที่ 120 ม.2 ต.แม่สะเรียง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน แต่ไม่อยู่ในร้าน ตำรวจจึงคุมตัว นายสุวิรัตน์ ผู้ดูแลร้านและพนักงานเต้นที่พบเจอฉี่ม่วงและอายุต่ำกว่า 20 ปี ทั้ง14 คน ส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองพัทยา เพื่อดำเนินคดีต่อไป

ที่มา : คมชัดลึก

พ่อแม่ควรทำอย่างไร เมื่อลูกรักเพศเดียวกัน

Friday, July 24, 2009

คงจะมีบ่อยครั้ง ที่คุณพ่อคุณแม่ไปไหน ๆ แล้ว ได้พบเห็นกริยาใกล้ชิดสนิทสนมที่ผู้หญิง 2 คนมีต่อกันเป็นพิเศษ เช่น เดินจูงมือ โอบไหล่ มองตาเง้างอน อาจจะเป็นู่สาวผมสั้น-ผมยาว หรือ ผมยาว-ผมยาว หรือ ผมสั้น-ผมสั้น ก็แล้วแต่
คุณพ่อคุณแม่มีความรู้สึกอย่างไรบ้างครับ ? เฉย ๆ ใช่ไหม ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรเป็นพิเศษ หรือว่ารู้สึก "ขัดหูขัดตา" คิดอยู่ในใจว่า "ลูกเต้าใครนะ" เลี้ยงดูยังไงถึงปล่อยให้รักชอบเพศเดียวกันแบบนี้ แต่ถ้า 1 ใน 2 คนนั้น เป็นลูกหลานในครอบครัวตนเอง ความรู้สึกของคุณพ่อคุณแม่จะเปลี่ยนไปทันทีใช่มั๊ยคะ จะมีปฏิกริยาเหล่านี้ตามมาใช่หรือเปล่า??

• วิตกกังวล ไม่สบายใจ เฝ้าคิดว่าจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงลูกได้อย่างไร
• สั่งห้ามให้ลูกเลิกคบเพื่อนคนนั้น
• อยากพาลูกไปหาจิตแพทย์
• โกรธลูกที่ทำตัวเสื่อมเสีย
• ห่วงใยในอนาคตของลูกยิ่งกว่าครั้งใด
• พยายามหาต้นตอของคนหรือ "สิ่ง" ที่ทำให้ลูกเป็นแบบนั้น
• ลงโทษลูกด้วยวิธีการต่าง ๆ
• โทษตัวเองว่าเลี้ยงลูกไม่ดี ฯลฯ รู้มั๊ยครับว่า

วิธี การแสดงออกหรือการกระทำต่าง ๆ เหล่านี้ สร้างแรงกดดันให้กับลูกหลานของเรา มากเพียงใด แน่นอนว่าคงไม่มีพ่อแม่คนไหนต้องการเห็นลูกเป็นทุกข์ เจ็บปวด แต่บางครั้ง "อคติและความเข้าใจผิด" ที่เรามีอยู่ก็ทำให้สิ่งที่ไม่ควรจะเป็น "ปัญหา" กลายเป็นปัญหาขึ้นมาจริง ๆ และอาจรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย จนวันหนึ่ง คุณพ่อคุณแม่อาจพบว่า ตัวเองกับลูกกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกันไปเสียแล้ว!

กลุ่มอัญจรีจึง เสาะหาข้อมูลและคำแนะนำที่คาดว่าจะเป็นประโยชน์มาฝากแก่คุณพ่อคุณแม่ครับ ด้วยความหวังว่า ความรักและความเข้าใจที่พ่อ แม่ ลูก มีต่อกันจะนำพาสิ่งดี ๆ มาให้ครอบครัวและสังคมของเราตลอดไป

6ข้อสำหรับพ่อแม่ เมื่อลูกรักเพศเดียวกัน

1. เริ่มต้นที่ความเข้าใจ ทำความเข้าใจก่อนว่า การที่คนทั่วไปในสังคม (รวมทั้งเราด้วย) มีความรู้สึกด้านลบกับคนที่รักเพศเดียวกันเพราะขาดข้อมูลที่ถูกต้อง มีความเชื่อผิด ๆ ว่าการรักเพศเดียวกันเป็นบาป เป็นโรคติดต่อ เป็นความผิดปกติทางจิตใจ ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็มีผลสรุปออกมาแล้วว่าการรักเพศเดียวกันนั้น เป็นพียงทางเลือกหนึ่งในการดำเนินชีวิตที่ทุก ๆ คนควรได้รับสิทธินี้ ควรขจัดอคติที่ว่าคนรักเพศเดียวกันนั้นเป็นปัญหาสังคม เพราะแท้จริงแล้ว แรงกดดันจากสังคมต่างหากที่สร้างแรงกระทบและก่อปัญหาแก่คนรักเพศเดียวกัน อย่าลืมว่าแม้แต่ในประกาศรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันในมาตรา 26 ก็ระบุเอาไว้ว่า "ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ และเสรีภาพของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง"

2. ถามตัวเองให้ชัดเจนว่า... ลองถามตัวเองสักครั้งว่า ความรักที่เรามีต่อลูกของเรานั้น ต้องมีการจำกัดเงื่อนไขด้วยหรือ พ่อแม่หลายคนเคยพูดว่า ไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไรก็ตาม ลูกก็คือลูก คือสิ่งมีค่าในชีวิต แม้ลูกบางคนจะเคยทำความผิดร้ายแรงเช่นก่อคดีฆาตกรรม เกี่ยวข้องกับยาเสพติด พ่อแม่ก็ยังรัก ยังพร้อมให้ความช่วยเหลือเมื่อลูกเสียใจสำนึกผิด แล้วในกรณีที่ลูกเพียงแต่ต้องการใช้ชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งไม่ได้สร้าง ปัญหาให้กับใคร ความรังเกียจ เหยียดหยามที่ผู้อื่นมีต่อลูกของเราเป็นสิ่งที่เกิดจากอคติ อุปาทาน ทำไมเราจึงต้องสร้างแรงกดดันให้แก่ลูกของเราอีกด้วย

3. หาคำตอบเรื่องความคาดหวัง ถาม ตัวเองอีกข้อว่า ที่เราโกรธลูก ไม่พอใจความประพฤติ ของลูกเพราะเราต้องการให้ลูกเป็น ไปตามความคาดหวังของเราใช่หรือไม่ ลองทบทวนย้อนหลังว่าเราคาดหวังอะไรกับลูกบ้าง เราเคยถูกคนอื่นเช่นพ่อแม่ พี่น้อง ญาติ ของเราคาดหวังมาก่อนหรือไม่ ลองนำความรู้สึกของเราเปรียบเทียบกับความรู้สึกของลูก เพื่อหาคำตอบว่า ความคาดหวังนั้น ๆ ก่อให้เกิดผลดีทุกอย่างจริงหรือ?

4. เลิกตั้งมาตรฐานกับลูก เลิกคิด เลิกเข้าใจผิดว่า คนรักเพศเดียวกันนั้นคือ พฤติกรรมการแสดงออกที่ไม่เหมาะสมเสมอไป การที่ลูกของเรามีบุคลิกภาพที่แตกต่างจากเพศเดียวกันคนอื่น ๆ เช่น ไว้ผมทรงเดียวกับผู้ชาย ชอบนุ่งกางเกง ดูเข้มแข็งกว่าผู้หญิงทั่วไป ฯลฯ ไม่ได้หมายความว่า ลูกของเราเป็นคนประหลาด ผิดปกติ นั่นเป็นเพียง รสนิยมและความชอบบางอย่างของเขาเท่านั้น นอกจากนั้น คนที่รักเพศเดียวกันจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น ผู้หญิงรักผู้หญิง ผู้ชายรักผู้ชาย อาจไม่ได้มีบุคลิกภาพนอกแสดงถึงความเป็น ทอม-ดี้-ตุ๊ด-แต๋ว อย่างที่สังคมเรียกขานตลอดเวลา มีคนรักต่างเพศอีกมากมายที่มีบุคลิกภายนอกแตกต่างจากเพศเดียวกันกับตน เช่น ผู้หญิงจำนวนมากที่ชอบไว้ผมสั้น แต่กายทะมัดทะแมง มีท่าทางห้าวหาญ ฯลฯ เพราะฉะนั้น อย่าใช้ภาพลักษณ์ภายนอก มากำหนดมาตรฐานและตัดสินลูกของเรา ตราบใดที่เขารู้จักกาละเทศะ มั่นใจในตนเอง ประพฤติตนเป็นคนดีของสังคม เช่นเดียวกับเราเองที่มั่นใจในเอกลักษณ์และตัวตนของเรา อย่าลืมว่า ความแตกต่างหลากหลายเป็นสิ่งปกติบนโลกใบนี้

5. อย่าดูถูกว่าการรักเพศเดียวกันเป็นแต่เรื่องบนเตียง เซ็กส์ หรือกามารมณ์ เป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งในชีวิตก็จริง แต่ไม่ว่า จะรักเพศเดียวกันหรือรักต่างเพศ กามารมณ์ก็ไม่ใช่ "เรื่องเดียว" ในชีวิต ลูกของเราก็เหมือนคนทั่วไป ต้องเรียนหนังสือ ทำงาน ประกอบอาชีพ ทำงานอดิเรก ฯลฯ ไม่ควรมองว่าคนรักเพศเดียวกันคือคนที่ถือเรื่องเพศเป็นใหญ่ อย่าลงความเห็นว่าการที่ลูกมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกันเป็นเรื่อง "ผิดหรือบาป" เพศสัมพันธ์ในวัยและโอกาสที่เหมาะสมเป็นเรื่องธรรมชาติ

6. หลีกเลี่ยงการกล่าวโทษตัวเอง อย่าคิด หรือลงโทษตัวเองว่า การที่ลูกรักเพศเดียวกันนั้นเป็นความผิดของเรา ทุกครอบครัวสามารถมีลูกที่รักเพศเดียวกันได้เสมอ การรักเพศเดียวกันก็เหมือนกับการรักต่างเพศ สามารถเกิดขึ้นกับใคร ที่ไหนก็ได้ มีรายงานมากมาย กล่าวถึงคนรักเพศเดียวกันที่มาจากครอบครัวที่อบอุ่น มีคนรักเพศเดียวกันอยู่ทั่วทุกมุมโลก และไม่มีงานวิจัยใดบ่งบอกสาเหตุแน่ชัดว่า คนรักเพศเดียวกันเพราะอะไร สิ่งสำคัญที่สุดจึงไม่ใช่การพยายามหาสาเหตุของการรักเพศเดียวกัน แต่อยู่ที่ว่า เราควรรักลูก เข้าใจลูก และปฏิบัติอย่างไรต่อลูกของเรามากกว่าครับ

ที่มา : อัญจารีสาร

ประวัติของคลินิกชุมชนสีลม

Thursday, July 23, 2009

:: ประวัติของคลินิก ::

ผล การประเมินความชุกของการติดเชื้อเอชไอวีในปี พ.ศ. 2548 ที่จัดทำโดยศูนย์ความร่วมมือไทย - สหรัฐ ด้านสาธารณสุข สภากาชาดไทย และสมาคมฟ้าสีรุ้ง พบความชุกของการติดเชื้อเอชไอวีในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายในกรุงเทพ มหานครอยู่ที่ร้อยละ 28.3 ความชุกนี้ได้เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจจากร้อยละ 17.3 ในปี พ.ศ. 2546 จึงเป็นเหตุให้ต้องมีการดำเนินการลดการแพร่กระจายของเชื้อเอชไอวีในกลุ่มชาย ที่มีเพศสัมพันธ์กับชายในกรุงเทพมหานครอย่างเร่งด่วน ทางศูนย์ฯ จึงได้จัดตั้ง คลินิกชุมชนสีลม ขึ้นเพื่อเป็นศูนย์ตรวจเกี่ยวกับการติดเชื้อเอชไอวีและกามโรค โดยหวังที่จะเพิ่มระดับความตระหนักของชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายในเรื่อง สถานะการติดเชื้อเอชไอวีและกามโรคของตน และรวมถึงพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศที่อาจมี เป็นช่องทางการเข้าถึงการดูแลรักษาโรคเอชไอวี/เอดส์ และสนับสนุนการวิจัยและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อเอชไอวีและกามโรค

:: ขอบเขตของการให้บริการ ::

คลินิก ชุมชนสีลมทำหน้าที่หลักในการเป็นจุดเริ่มในการยกระดับความตระหนักในเรื่อง สถานะการติดเชื้อเอชไอวีและกามโรค คลินิกชุมชนสีลมให้บริการแก่ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายทั้งหมด แต่มุ่งเน้นที่ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายที่ไม่ต้องได้รับการรักษาดูแลพิเศษ สำหรับผู้ที่ต้องได้รับการรักษาดูแลพิเศษ ซึ่งได้แก่ ชาวต่างประเทศ ชายแปลงเพศเป็นหญิง ชายขายบริการทางเพศ และบุคคลที่มีอาการป่วยขั้นรุนแรง คลินิกชุมชนสีลมมีบริการส่งต่อให้กับคลินิกหรือโรงพยาบาลอื่นที่มีความพร้อม มากกว่า

:: บรรยากาศภายในคลินิก ::

คลินิกชุมชนสีลม ตั้งอยู่ที่ชั้น 3 โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน เปิดให้บริการทุกวันอังคาร - เสาร์ ตั้งแต่ 16.00 - 22.00 น. ลักษณะ ของคลินิกไม่มีสิ่งใดบ่งบอกว่าเป็นศูนย์ตรวจเชื้อเอชไอวีและกามโรค ไม่มีใครดูออกว่าคุณมาเข้ารับการตรวจเชื้อเอชไอวีและกามโรค นอกจากนี้คลินิกชุมชนสีลมยังได้รับการตกแต่งให้มีบรรยากาศแบบผ่อนคลายและ เป็นกันเอง พร้อมมีบริการอินเตอร์เน็ทให้โดยมีคิดค่าใช้จ่าย คุณจะไม่รู้สึกเหมือนอยู่ในคลินิกเลย

:: บุคคลากร::
ที่ คลินิกชุมชนสีลม เรามีผู้ให้การปรึกษา/พยาบาลวิชาชีพ 2 คน ผู้จัดการคลินิก 1 คน นักเทคนิคการแพทย์ 1 คน และเจ้าหน้าที่ฝ่ายข้อมูล 1 คน คอยให้บริการคุณ นอกจากนี้เรายังมีนายแพทย์ประจำทุกวันศุกร์ เจ้าหน้าที่ของเรามีประสบการณ์และเข้าใจคุณและรูปแบบชีวิตของคุณ

:: ขั้นตอนการตรวจ ::

สำหรับ การตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อเชื้อเอชไอวี คุณสามารถเลือกการเจาะเลือดจากปลายนิ้วหรือจากข้อพับแขน ทั้งสองวิธีจะให้ผลการตรวจภายใน 30 นาที การเจาะเลือดจากปลายนิ้วจะใช้เลือดเพียง 1 หยด ในขณะที่การเจาะเลือดจากข้อพับแขนจะเจาะเอาเลือด 7 ซีซี หากแต่จะได้ตัวอย่างเลือดมากพอที่จะให้คุณเลือกการตรวจเพิ่มเติมได้ ได้แก่ กามโรค ไวรัสตับอักเสบเอ และไวรัสตับอักเสบบี (ร่วมกับการเก็บตัวอย่างเพิ่มเติมจากการตรวจลำคอ ปัสสาวะ และทวารหนัก) การสรุปผลการติดเชื้อเอชไอวีจะต้องผ่านการตรวจโดยชุดทดสอบ 3 ชุดที่มีวิธีการแตกต่างกัน ที่ให้ผล "บวก" เหมือนกันทั้ง 3 ชุด ในกรณีที่สรุปผลว่ามีการติดเชื้อเอชไอวี เราจะเสนอให้ทำการตรวจสมรรถภาพของร่างกายในการต่อสู้กับเชื้อโรค (ตรวจนับปริมาณเม็ดเลือดขาวชนิดซีดี 4)

:: ขั้นตอนการให้การปรึกษา ::

คลินิกชุมชนสีลมจะให้บริการปรึกษาทั้งก่อนและหลังการตรวจเสมอ เราให้บริการปรึกษาทั้งการลดความเสี่ยงและในเรื่องที่คุณต้องการปรึกษา

:: การเก็บความลับ ::

คลินิก ชุมชนสีลมให้บริการบนพื้นฐานของการเก็บเป็นความลับ และทุกบริการเป็นไปตามความสมัครใจของคุณ คุณจะสร้างเอกลักษณ์เฉพาะของคุณที่คลินิกและการเข้าถึงข้อมูลของคุณจะทำได้ ด้วยบัตรสมาชิกแบบบาร์โค้ดที่คุณถือเท่านั้น

:: ติดต่อกับคลินิก ::

คุณสามารถเข้าพบได้ทุกวันอังคาร - เสาร์ เวลา 16.00 - 22.00 น. โทรศัพท์ 0-2634-2917 หรือ e-mail: silom@tuc.or.th เพื่อนัดเวลา นอกจากนี้คุณยังสามารถอ่านข้อมูลเกี่ยวกับคลินิกได้ที่ www.silomclinic.in.th

:: การเดินทางสู่คลินิก ::
คลินิก ชุมชนสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 3 โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน ถนนสีลม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร คุณสามารถเดินทางสู่คลินิกได้ด้วย รถไฟฟ้าบีทีเอส (ลงที่สถานีศาลาแดง) รถไฟฟ้ามหานคร (ลงที่สถานีลุมพินี) และรถโดยสารประจำทางสายต่างๆ และนอกจากนี้เรายังมีบริการที่จอดรถไม่คิดค่าใช้จ่าย (จอด 2 ชั่วโมง)

:: ค่าบริการ (ไม่คิด) ::
การตรวจที่คลินิกจัดบริการให้และการรักษาเกือบทั้งหมด ไม่มีค่าใช้จ่าย!!! คลินิกชุมชนสีลมให้บริการเฉพาะแก่ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายเท่านั้น

คลินิกชุมชนสีลม ชั้น 3 โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน ถนนสีลม บางรัก กรุงเทพมหานคร เปิดบริการให้กับเฉพาะชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM)โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ทุกวันอังคาร- เสาร์ เวลา 16.00 - 22.00 น.โทร 0-2634-2917 E-Mail: silom@tuc.or.th

คลีนิคนิรนาม

Wednesday, July 22, 2009

คลีนิคนิรนาม ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย (ถ.พระราม 4 ติดกับ รพ.จุฬา สีลม) ได้ขยายบริการคลีนิกสุขภาพชาย ซึ่งเป็นการเปิดให้บริการตรวจสุขภาพในกลุ่มชายรักชาย เพื่อให้กลุ่มชายรักชายได้มีทางเลือกในการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพมากยิ่ง ขึ้น โดยจะเปิดให้บริการดังต่อไปนี้
1. ให้บริการปรึกษาแนะนำและตรวจเอดส์
2. ให้บริการตรวจคัดกรองหามะเร็งปากทวารหนัก
3. ให้บริการตรวจรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
4. ให้บริการปรึกษาสุขภาพทางเพศที่ปลอดภัย

โดยจะเปิดให้บริการ ทุกวันพฤหัส เวลา 16.30 - 19.00 น. ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2551 เป็นต้นไป
สอบถามเพิ่มเติมที่เบอร์โทรศัพท์ 02-256410-9 ต่อ 207

มาดูสิ..คุณเป็นเกย์ประเภทไหน ?

Tuesday, July 21, 2009

ปัจจุบันกลุ่มชายรักชาย (Mala Homosexual) ได้ขยายตัวเพิ่มมากขึ้นจนเป็นกลุ่มสังคมย่อยที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งเราอาจพบเห็นได้จากสังคมรอบข้าง เป็นภาพสะท้อนหนึ่งของสังคม ที่มิอาจปิดบังได้ นอกเหนือจากบทบาททางเพศที่แตกต่าง เราจะเห็นว่า กลุ่มชายรักชายยังมีกิจกรรม มีรูปแบบการดำเนินชีวิต มีพฤติกรรมการซื้อที่น่าศึกษา เพราะมีขนาดใหญ่พอที่จะเกิดเป็นตลาดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคการทำตลาดแบบ Niche Market ที่มุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายเฉพาะกลุ่ม

ด้วยเหตุดังกล่าวได้มีงานวิจัย ชิ้นหนึ่งของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ศึกษาชีวิตของบุคคลกลุ่มนี้ เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ของพวกเขา ซึ่งได้มีการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง ชายรักชาย (เกย์) ในเขตกรุงเทพมหานคร อายุระหว่าง 20-45 ปี จำนวน 300 คน

โดยอิง นิยามความหมายของ เกย์ (Gay) คือ ผู้ชายที่มีรสนิยมทางเพศชอบเพศชายด้วยกัน แต่ยังคงพึงพอใจในเพศชายของตนเอง การแต่งตัวเป็นผู้ชาย บุคลิกภายนอกอาจบ่งชี้ผู้เป็นเกย์ได้ลำบาก เพราะมีทั้งสุภาพเรียบร้อย จนถึงเหมือนผู้ชายทั่วๆ ไป กลุ่มตัวอย่างนี้จึงไม่รวมถึงกลุ่มชายรักชายประเภทอื่นๆ คือ กลุ่มแปลงเพศ (Transsexual) และไม่รวมกลุ่มแต่งกายเลียนแบบเพศหญิง (Transvestitism)

ใน การวิจัยครั้งนี้ ได้ทำการวิจัยแบบสอบถาม กระจายไปตามกลุ่มชายรักชาย ที่เป็น "เกย์" ทั่วกรุงเทพฯ โดยกระจายไปตามแหล่งปรากฏตัว เช่น บาร์ ดิสโก้เธค เซาน่า ใน 3 ทำเลหลัก คือ ย่านสีลม ย่านรามคำแหง-สุขุมวิท และย่านสะพานควาย รวมถึงจากการเปิดรับสื่อทางอินเทอร์เน็ต นิตยสารเกย์ และจากกลุ่มสังคมทั่วไป หลากอาชีพ เช่น ข้าราชการ พนักงานเอกชน นักศึกษา ผู้กำลังรองาน ฯลฯ ซึ่งเวลาในการเก็บข้อมูลในช่วงเดือน สิงหาคม 2542
ผล การวิจัยพบว่า ในการเปิดเผยความเป็นเกย์ กลุ่มตัวอย่างเกย์ส่วนใหญ่ มีเพื่อนสนิทรู้ว่า เป็นเกย์มากที่สุด คือ 77% สังคมทั่วไป เช่น สถานที่ทำงาน หรือสถานศึกษารู้ว่าเป็นเกย์ 43% ขณะที่สมาชิกในครอบครัวรู้ว่าเป็นเกย์เพียง 33% เท่านั้น

แสดงให้เห็น ว่า ในสังคมทั่วไป การบ่งบอกว่าใครเป็นเกย์ทำได้ยาก และการไม่กล้าเปิดเผยความเป็นเกย์ต่อสถาบันครอบครัว อาจเป็นเพราะค่านิยมที่สืบทอดกันมาว่า เป็นเรื่องที่น่าอับอาย หรือไม่ต้องการให้พ่อแม่เสียใจ จึงเป็นที่มาของปัญหาการถูกบังคับให้แต่งงาน หรือการแต่งงานเพื่อบังหน้า จากการสำรวจพบว่า มีเกย์บางคนที่แต่งงานมีครอบครัว มีลูก แต่มักแอบภรรยามาหาความสุขกับเพศเดียวกัน

ด้านกิจกรรมที่เกย์ส่วนใหญ่ ทำในวันหยุด คือ พักผ่อนอยู่บ้าน เที่ยวกับแฟน และเที่ยวกลางคืน ส่วนกิจกรรมที่ทำน้อยที่สุด คือ การแต่งแฟนซีเป็นหญิง สูบบุหรี่ และเล่นการพนัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การที่สังคมมองกลุ่มเกย์ เป็นผู้ชอบมั่วสุม เล่นการพนัน สูบบุหรี่ เป็นการมองกลุ่มเกย์ที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ผลการวิจัยยังพบอีกว่า กลุ่มเกย์ส่วนใหญ่ 65% ไม่สูบบุหรี่

ส่วนด้านการให้ความสนใจต่อเรื่อง ต่างๆ พบว่ากลุ่มเกย์ในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ มีความระมัดระวังต่อโรคเอดส์สูง ด้วยการสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ 83% มีความมุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จด้านการงานหรือการเรียน 83% อีกทั้งให้ความสำคัญกับการรักษารูปร่าง 77% และพิถีพิถันการแต่งกาย 65%
ด้าน ความคิดเห็นต่อสังคม กลุ่มเกย์ส่วนใหญ่ มีความตระหนักถึงการรักษาสิ่งแวดล้อม 93% และคิดว่าเกย์ควรสะสมทรัพย์สินให้มาก เผื่อไว้ยามแก่ 80% และคิดว่าตนมีความรู้เรื่องเอดส์ดีพอ 85% ประเด็นที่น่าสนใจ คือ เกย์ส่วนใหญ่ 65% มีความพอใจในความเป็นเกย์ของตนเอง ซึ่งอาจหมายถึงการเป็นเกย์ในปัจจุบัน สามารถมีความสุขได้ไม่ต่างจากชายจริงหญิงแท้ ผิดการเป็นเกย์เมื่อ 20 ปีก่อน ที่ผูกติดกับชีวิตที่ผิดหวัง โดดเดี่ยว จนเกิดคอลัมน์ปรึกษาปัญหาชีวิต ชีวิตเศร้าชาวเกย์ โดย โก๋ ปากน้ำ

ไลฟ์สไตล์ชายรักชาย
การ แบ่งประเภทของเกย์ อาจทำได้ในโดย ใช้เกณฑ์แบ่งที่แตกต่างกัน ในการวิจัยครั้งนี้ ใช้เกณฑ์แบ่งจาก รูปแบบการใช้ชีวิต ที่ประกอบด้วย กลุ่มกิจกรรม (Activities) กลุ่มความสนใจ (Interests) และกลุ่มความคิดเห็น (Opinions) โดย ใช้หลักการวิเคราะห์ปัจจัย (Factor Analysis) หาค่าทางสถิติ จัดแบ่งรูปแบบการดำเนินชีวิต (Lifestyle) ได้เป็น 6 รูปแบบ คือ

Homey Gay Lifestyle เป็นรูปแบบการดำเนินชีวิต ที่ชอบทำกิจกรรมในบ้าน และกิจกรรมทางศาสนา รวมทั้งกิจกรรมเพื่อความรู้ เช่น ชอบปลูกต้นไม้ เข้าครัว พักผ่อนอยู่บ้านวันหยุด ชอบทำบุญ และนั่งสมาธิบ้าง นอกจากนี้ ยังชอบเข้าห้องสมุด และชมนิทรรศการต่างๆ

Night Going Gay Lifestyle เป็นรูปแบบการดำเนินชีวิต ที่ชอบเที่ยวกลางคืน ชอบเต้นรำ สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า เพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องเสียหาย คิดว่าการซุบซิบนินทา เป็นเรื่องสนุกปาก มีความเห็นว่า ยาเสพย์ติด ยาอี เป็นสิ่งคลายเครียด มองว่าสินค้าไทยไม่มีคุณภาพ รวมทั้งมองการแสดงของไทยเป็นสิ่งล้าสมัย

Obviously Gay Lifestyle เป็นรูปแบบการดำเนินชีวิต ที่เปิดเผยความเป็นเกย์เต็มตัว นิยมแต่งตัวแฟนซีเป็นผู้หญิงบ้างบางโอกาส มักเปลี่ยนคู่นอนบ่อย ให้ความสำคัญกับรูปร่างหน้าตาของผู้ที่จะมาเป็นแฟนด้วย มีความสนใจในเรื่องสวยๆ งามๆ คิดว่าผู้ชายแต่งหน้าอ่อนๆ ได้ และคิดว่าการแต่งตัวแปลกๆ เว่อร์ๆ ดูเท่ดี ชอบกิจกรรมการพนัน กลุ่มนี้พร้อมให้ความร่วมมือกับกิจกรรมเกย์เป็นอย่างดี

Trendy Gay Lifestyle เป็นรูปแบบการดำเนินชีวิต ที่สนใจในความก้าวหน้าของชีวิต และความก้าวหน้าทางวิทยาการใหม่ๆ ใฝ่หาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ ให้ความสำคัญกับการติดต่อสื่อสาร เช่น ขาดอุปกรณ์ติดต่อสื่อสารไม่ได้ เปิดรับสื่อต่างๆ มาก ชอบลองของใหม่ก่อนเพื่อน รักอิสระ เป็นตัวของตัวเองสูง แต่ขณะเดียวกัน ก็มีสังคมกลุ่มเพื่อนที่เหนียวแน่น

Conservative Gay Lifestyle เป็นรูปแบบการดำเนินชีวิต ที่นิยมใช้ชีวิตแบบระมัดระวังตัว เช่น ตระหนักถึงการเก็บออม ออกกำลังกาย เล่นกล้าม มีความใส่ใจในการรักษารูปร่างให้ดี หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันหรือน้ำตาลสูง พิถีพิถันการแต่งกาย นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมด้านการท่องเที่ยวสูง ชอบเที่ยวต่างจังหวัด และต่างประเทศ

Healthy Gay Lifestyle เป็นรูปแบบการใช้ชีวิตที่คำนึงถึงสุขภาพเป็นหลัก มีกิจกรรมด้านกีฬา ออกกำลัง เล่นกล้าม มีความใส่ใจด้านสุขภาพสูง เช่นเลี่ยงอาหารมัน อาหารหวาน พิถีพิถันการแต่งกาย ชอบท่องเที่ยว
หมายเหตุ : Xq28 พบว่าข้อมูลจาก site ของกรุงเทพธุรกิจมีเพียง 5 แบบเท่านั้น และเราได้รับความอนุเคราะห์จากคุณเคน เจ้าของงานวิจัย มาเพิ่มเติมข้อ 6 ให้ ผ่านทางกระดาน 007th จึงขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

จากการ ศึกษา พบว่า กลุ่มเกย์ในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ ดำเนินชีวิตแบบ Conservative และแบบ Trendy มากที่สุด อย่างไรก็ตาม รูปแบบการดำเนินชีวิตทั้ง 6 แบบนี้ ไม่ได้หมายความว่า เกย์บุคคลหนึ่งจะถูกจัดให้อยู่ในรูปแบบการดำเนินชีวิตแบบใดแบบหนึ่ง แต่หมายความว่า รูปแบบการดำเนินชีวิตของกลุ่มตัวอย่างเกย์ที่ได้จากการสำรวจ มีปัจจัยที่เด่นๆ สามารถจำแนกได้ 6 ปัจจัย

ดังนั้น เกย์หนึ่งคนอาจมีรูปแบบการดำเนินชีวิตที่ผสมผสานได้ เช่น นาย ก. อาจมีลักษณะของ Trendy Gay Lifestyle และ Night Going Gay Lifestyle อยู่ในคนๆ เดียวกัน คือ เป็นคนทันสมัย ชอบติดต่อสื่อสาร ติดตามเทคโนโลยีเสมอ และนิยมการเที่ยวกลางคืน ดิสโก้เธค สูบบุหรี่ ดื่มเหล้าด้วย
เที่ยวหนัก รักงาน รักอิสระ

จากการวิจัยครั้งนี้ ทำให้เห็นภาพรวมของกลุ่มวัฒนธรรมย่อยนี้ คือ เที่ยวหนัก ทำงานหนัก นิยมกิจกรรมบันเทิง เช่น เที่ยวกลางคืน ขณะเดียวกัน มีความคิดมุ่งมั่นต่อความสำเร็จในชีวิต คำนึงถึงอนาคต, ตระหนักเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย มีการสวมถุมยางขณะมีเพศสัมพันธ์ มีความระมัดระวังต่อประเด็นเอดส์สูง แสดงให้เห็นถึงการรณรงค์เรื่องเอดส์ต่อกลุ่มเกย์ที่มีอย่างต่อเนื่องได้ผลดี

กลุ่มชายรักชาย มักให้ความพิถีพิถันการแต่งกาย โดยไม่จำเป็นต้องเป็นสินค้า Brand Name เลือกซื้อเสื้อผ้าโดยมีปัจจัยอื่น เช่น รูปแบบเสื้อผ้า ฯลฯ นอกเหนือจากตราสินค้าเพียงอย่างเดียว แถมยังรักอิสระ แต่ยังได้รับอิทธิพลทางความคิดจากครอบครัวอยู่ มีความ "รักอิสระ" สูง แต่กลับมีการปกปิดความเป็นเกย์ต่อกลุ่มคนครอบครัวมากที่สุด และมีความคิดที่จะใช้ชีวิตตามลำพังอยู่ในระดับปานกลาง

พวกเขาตระหนักใน ความเป็นไทย เกย์ส่วนใหญ่ไม่คิดว่าการแสดงของไทยเป็นสิ่งเชย และเชื่อมั่นในคุณภาพสินค้าไทย นอกจากนี้ ยังใส่ใจเรื่องสุขภาพและรูปร่างสูง และปฏิบัติตัวในเชิง "งด" มากกว่าเชิง "สร้างเสริม" โดยกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับรูปร่างและสุขภาพ และทำกิจกรรมเพื่อสุขภาพในเชิงงด เช่น ไม่สูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงอาหารหวานหรือมีไขมันสูง มากกว่ากิจกรรมเสริมสร้างสุขภาพ เช่น เล่นกีฬา หรือเล่นกล้าม ยกน้ำหนัก ซึ่งอาจเป็นผลมาจากกิจกรรมประเภทเล่นกีฬา ต้องใช้ความสะดวกหลายๆ ด้าน เช่น เวลา สถานที่ ในขณะที่กิจกรรมเชิง "งด" ทำได้ง่ายกว่า

ที่สำคัญ ชายรักชายมีความพอใจในความเป็นเกย์ของตนเองสูง มีค่านิยมกับกลุ่มเกย์ ว่าไม่ควรแสดงออกมาและไม่นิยม

ลักษณะ Feminine Gay (เกย์ที่ออกสาว)

เกย์สนใจข่าวพอๆ กับดูละคร

ใน เมื่อไลฟ์สไตล์ของชาวเกย์ ดูจะเป็นกลุ่มที่รักสวยรักงาม เหตุนี้กลุ่มสินค้าและบริการที่มีการบริโภคในระดับสูง คือ หมวดการแต่งกาย แฟชั่น ได้แก่ นิยมฉีดน้ำหอม ทาครีมโลชั่น ซื้อเสื้อผ้า รวมทั้งหมวดสินค้าและบริการในหมวดบันเทิง ได้แก่ ชมภาพยนตร์ ซื้อเทปเพลง เที่ยวดิสโก้เธค และเที่ยวเซาน่า (สถานพบปะเพื่อการมีเพศสัมพันธ์)
ขณะ เดียวกัน พฤติกรรมการเปิดรับสื่อของกลุ่มชายรักชาย (เกย์) มีการบริโภคสื่อที่เกี่ยวข้องกับการบันเทิงสูงในระดับสูง โดยเปิดรับคอลัมน์บันเทิงในหนังสือพิมพ์ 72% และนิตยสารประเภทบันเทิง เช่น เอนเตอร์เทน 41% และเปิดรับนิตยสารประเภทสตรี เช่น แพรว ดิฉัน อิมเมจฯ ในระดับสูง 41%

ที่น่าสังเกต คือ รายการทางสื่อโทรทัศน์ พบว่ากลุ่มชายรักชาย (เกย์) นิยมดูรายการข่าวและละคร เป็นอันดับต้นๆ ซึ่งมีส่วนคล้ายผู้ชายที่นิยมชมรายการข่าว และคล้ายผู้หญิงที่นิยมรายการละคร นอกจากนี้ กลุ่มตัวอย่างเกย์ยังมีการเปิดรับสื่อประเภทนิตยสารในระดับสูง 85% มากกว่าผู้ชายทั่วไปที่เปิดรับสื่อประเภทนิตยสารเพียง 7%
การสื่อสาร ระหว่างบุคคล (เพื่อนเกย์) เป็นที่นิยมมากที่สุด เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลเฉพาะกลุ่ม ได้แก่ สถานบันเทิงเปิดใหม่ กิจกรรมเกย์ต่างๆ


เกย์ สีสันในพหุสังคม
ในด้านสังคม จากผลการวิจัยพบว่า กลุ่มชายรักชาย (เกย์) เป็นสังคมกลุ่มย่อย ที่มีความหลากหลายในรูปแบบการดำเนินชีวิต เช่นเดียวกับสังคมอื่นๆ ทั่วไป แต่ภาพที่ปรากฏเป็นตัวแทนของกลุ่มเกย์มักเป็นภาพเชิงลบ ทั้งๆ ที่มีรูปแบบการดำเนินชีวิตอีกหลายแบบที่ไม่ได้ถูกกล่าวถึง เช่น ตระหนักถึงการเก็บออมใส่ใจในปัญหาสิ่งแวดล้อม ตั้งใจทำงานให้ประสบความสำเร็จ

การที่สื่อสารมวลชนนำเสนอภาพเชิงตลกขบ ขันของคนกลุ่มนี้ เพราะเล่นประเด็นเฉพาะความเบี่ยงเบนทางเพศ โดยมองข้ามประเด็นอื่น เช่น ด้านความสามารถ ด้านการใช้ชีวิต ยิ่งมีส่วนให้สังคมมองกลุ่มเกย์บิดเบือนจากภาพรวมที่แท้จริง และยิ่งสร้างช่องว่างระหว่างสังคมให้กว้างขึ้น สื่อมวลชนในแขนงต่างๆ จึงควรตระหนัก และพิจารณาเสนอภาพของกลุ่มเกย์ ในประเด็นอื่น นอกเหนือจากประเด็นทางเพศมุมมองเดียว

ในด้านการตลาดจากผลการวิจัยพบว่า กลุ่มชายรักชาย (เกย์) เป็นกลุ่มที่มีอำนาจการจับจ่ายสูง โดยเฉพาะสินค้าหมวดแฟชั่น บันเทิง การทำตลาดแบบ Niche Market เพื่อเข้าถึงลูกค้ากลุ่มนี้จึงน่าสนใจยิ่ง เพราะจะเป็นการเปิดตลาดใหม่ๆ ที่ยังไม่มีผู้ใดยึดครอง เพียงแต่ควรพิจารณาให้ดีว่า ไม่มีผลกระทบต่อสังคมส่วนรวม หรือเป็นการกระตุ้นให้เยาวชนเกิดความรู้สึกอยากเลียนแบบ แต่เป็นการทำตลาดเพื่อตอบสนองกลุ่มเกย์ที่มีในตลาดอยู่แล้ว

ที่มา : นสพ.กรุงเทพธุรกิจ

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเกย์

Monday, July 20, 2009

1.เกย์ไม่ใช่คนผิดปกติ

เกย์ไม่ใช่คนผิดปกติ วิปริตทางเพศ หรือมีความเป็นมนุษย์ต่ำต้อยกว่าคนอื่น แต่ที่เกย์หลายๆ คนรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยจนต้อง “แอบจิต” ก็เพราะกลัวว่าคนรอบข้างไม่ยอมรับนั่นเอง กลายเป็นปมด้อยที่เก็บงำไว้สุดฤทธิ์ … แต่การยอมรับของใครก็คงไม่สำคัญเท่าคนเป็นพ่อแม่ ถ้าพ่อแม่ยังอับอาย เห็นว่าการเป็นเกย์ของลูกเป็นจุดด่างพร้อยในครอบครัว ลูกก็คงไม่อาจยืดอกสู้หน้าใครได้

ลองอ่านงานวิจัยนี้. . .

* ผู้ชายร้อยละ 37 มีเซ็กซ์กับเพศเดียวกันอย่างน้อย 1 ครั้ง
* ร้อยละ 18 มีประสบการณ์ทางเพศทั้งกับคนเพศเดียวกันและเพศตรงข้าม
* ผู้ชายร้อยละ 4 มีเพศสัมพันธ์กับคนเพศเดียวกันตั้งแต่วัยรุ่น
* ถ้าลูกชายของเราเผอิญเป็นหนึ่งในนั้น ก็น่าจะถือว่าเป็นเรื่องปกตินะคะ

งานวิจัยเขายังกล่าวอ้างสมมุติฐานเรื่องเกย์อีกว่า สัตว์เกือบทุกชนิดมีพฤติกรรมทางเพศระหว่างเพศเดียวกันและยืนยันว่าไม่ใช่วัฒนธรรมสมัยใหม่ เพราะในดีตยุคโรมันก็มีพฤติกรรมรักร่วมเพศอย่างเปิดเผยและเป็นที่ยอมรับในสังคม

สังคมไทยในปัจจุบันก็ค่อนข้างเปิดใจยอมรับเรื่องนี้ อาจเป็นเพราะบ้านเราเป็นเมืองพุทธที่มีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และเข้าถึงธรรมชาติของ ชีวิตที่เต็มไปด้วยความแตกต่างหลากหลาย ซึ่งไม่ได้ลดทอนความเป็นมนุษย์ในตัวตนของคนๆ นั้นให้ด้อยลงไปแม้แต่น้อย เกย์ที่ประสบความสำเร็จมีชื่อเสียง ทำคุณประโยชน์ให้สังคมและประเทศชาติมีอยู่ให้เห็นมากมาย และอาจจะพูดได้ว่า เกย์มีพรสวรรค์บางด้านที่พิเศษกว่าชายจริงหญิงแท้ด้วยซ้ำ

2. เกย์ไม่ใช่โรค

พ่อแม่หลายคนเมื่อรู้ว่าลูกเป็นเกย์ พยายามพาลูกไปหาหมอรักษา แต่การเป็นเกย์ไม่ใช่[โรค]] จึงรักษาไม่ได้ นอกเสียจากว่าเขาจะมีปัญหาที่เกิดจากความกดดัน ความขัดแย้งภายในจิตใจที่เป็นเกย์ บางคนซึมเศร้าจนอาจถึงกับอยากฆ่าตัวตาย เพราะรู้สึกว่ากำลังทำสิ่งผิดธรรมชาติ คนรอบข้างไม่ยอมรับ ฯลฯ

3. เกย์ต้องการการยอมรับ

เกย์ หลายคนสารภาพว่า ความทุกข์ของเกย์คือการปิดบังตัวเอง ไม่ซื่อสัตย์ต่อตัวเองและคนอื่น ดังนั้นหากว่าวันใดวันหนึ่งลูกเกิดพบว่าตัวเองไม่ใช่ชายแท้ขึ้นมา เขาหวังว่าจะสารภาพกับพ่อแม่ได้ มาถึงตรงนี้ ใช่ว่าจะให้คุณพ่อคุณแม่เข้าไปคาดคั้นหรือจับผิดว่าลูกเราเป็นเกย์หรือเปล่า แต่เป็นการเตรียมทัศนคติที่ดี ขอให้รู้เถิดว่า การยอมรับของพ่อแม่และคนที่เขารักจะทำให้เขาเป็นคนที่สมบูรณ์ สามารถดำรงชีวิตอยู่อย่างมีความสุข ประสบความสำเร็จได้...แม้จะเป็นเกย์

ความเข้าใจผิดดังกล่าวนั้น นายแพทย์ยุงยุทธกล่าวว่าแบ่งเป็นหกข้อด้วยกันคือ

1. เข้าใจผิดว่ารักร่วมเพศเป็นวิปริตทางเพศ

ความ จริงคือ ไม่ใช่ คำว่า วิปริตทางเพศในปัจจุบันมีความหมายเพียงประการเดียวครับ คือ คนที่ได้มาซึ่งความสุขและความพึงพอใจทางเพศด้วยวิธีการที่สังคมไม่ยอมรับ เช่น ถ้ำมอง ชอบโชว์อวัยวะเพศ ชอบมีเพศสัมพันธ์กับเด็ก หรือมีเพศสัมพันธ์โดยทำร้ายฝ่ายตรงข้าม ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นปัญหาของชายรักร่วมเพศ อย่างไรก็ตาม คนวิปริตทางเพศในความหมายนี้ก็เกิดขึ้นได้ทั้งคนที่รักเพศเดียวกันและรัก เพศตรงข้าม

2. เข้าใจผิดว่า คนที่รักร่วมเพศต้องมีอารมณ์ฉุนเฉียว ก้าวร้าว ปากจัด

ความ เข้าใจผิดนี้ อาจจะมาจากคาแรกเตอร์ของตัวละครบางตัวในละครโทรทัศน์ แต่จากการศึกษาเกี่ยวกับบุคลิกภาพแล้ว เรื่องนี้ไม่เป็นความจริงโดยสิ้นเชิง ในเชิงวิชาการความเข้าใจผิดข้อนี้มักมาจากการศึกษาวิจัยที่มีอคติทั้งสิ้น เช่น ศึกษาวิจัยจากผู้ที่มาขอรับคำปรึกษาจากจิตแพทย์ แน่นอนนะครับคนที่มาหาจิตแพทย์นี่จะต้องมีความคับข้อ ทุกข์ยากในชีวิตอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่อาจกล่าวว่า เป็นตัวแทนของกลุ่มประชากรได้ เราไม่อาจพบความแตกต่างระหว่างคนรักเพศตรงข้ามและคนรักเพศเดียวกันในเรื่อง ดังนี้ คือ

- ข้อแรก เชาวน์ปัญญา ไม่มีใครฉลาดกว่าใคร โง่กว่าใคร

- ข้อ สอง บุคลิกภาพไม่มีใครมีบุคลิกภาพแปรปรวนมากกว่าใคร เพราะคนก้าวร้าวมีทั้งที่รักเพศตรงข้ามและ
รักเพศเดียวกัน คมกามวิตถารก็มีทั้งคนรักเพศเดียวกันและรักเพศตรงข้ามเช่นกัน"

3. เข้าใจผิดว่า คนที่รักเพศเดียวกันจะต้องแสดงออกให้เห็นได้ เช่น ห้าว หรือกระตุ้งกระติ้ง

รัก ร่วมเพศเป็นเรื่องพฤติกรรมส่วนตัวของคนเรา ซึ่งจะแสดงพฤติกรรมภายนอกออกมาหรือไม่ ไม่เกี่ยวกันครับ มีคนที่รักร่วมเพศเป็นจำนวนมากที่มีพฤติกรรมภายนอกตามแบบแผนปรกติของสังคม

4. เข้าใจผิด (ในทางบวก) ว่า คนที่รักร่วมเพศจะต้องมีลักษณะพิเศษ เช่น มีอารมณ์ละเมียดละไม เป็นคนเก่ง ฉลาดผิดปรกติ

นี่ก็ไม่เป็นความจริงอีกเช่นกันนะครับ คนที่รักร่วมเพศเป็นคนธรรมดา มีความสามารถต่างๆ นานาเช่นเดียวกับคนรักต่างเพศ

5. เข้า ใจผิดอย่างยิ่งว่า พฤติกรรมของคนรักร่วมเพศ ไม่ว่าจะเป็นท่าทางกระตุ้งกระติ้ง หรือห้าว เข้มแข็ง จะทำให้คนอื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กเกิดการเลียนแบบและเป็นตาม

ใน ทางจิตวิทยาพัฒนาการแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่คนเราจะโน้มเอียงไปทางความเป็นชายหรือหญิงตามพฤติกรรมคนอื่น ที่เห็นเพราะความเป็นชายและหญิง ในทางจิตวิทยามันลงหลักตั้งแต่วัยสามถึงห้าขวบ ดังนั้นที่กลัวกันว่าเด็กดูละครทีวีที่มีกะเทยแล้วจะทำให้เด็กกลายเป็นกะเทย นั้นไม่จริงเลย เช่นเดียวกับที่ครูเป็นกะเทยแล้วเด็กจะเลียนแบบก็ไม่จริง

6. เข้าใจผิดอย่างยิ่งว่า การยอมรับคนที่รักร่วมเพศเดียวกันหมายถึงการสนับสนุนให้มีการรักร่วมเพศอยู่ทั่วไป

หาก เข้าใจอย่างนี้ก็แสดงว่า ถ้าเรายอมรับคนพิการต่อไปเราจะพิการกันไปหมด ถ้ายอมรับผู้ติดเชื้อเอดส์ ต่อไปเราจะติดเชื้อเอดส์กันหมด มันเป็นไปไม่ได้นะครับ การยอมรับคือการเคารพในตัวเขา มีชีวิตอยู่อย่างเคารพซึ่งกันและกัน ซึ่งนั่นไม่ได้แปลว่าเป็นการสนับสนุนให้คนอื่นเป็นตามเขานะครับ ตรงกันข้าม การอยมรับทำให้ปัญหาไม่ซ่อนเร้นเมื่อได้รับการยอมรับ คนเหล่านี้ก็จะมีความรับผิดชอบต่อสังคมไม่สร้างปัญหาให้สังคม ส่วนการที่จะป้องกันไม่ให้คนเป็นรักร่วมเพศ ต้องเกิดจากการทำความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้อย่างถ่องแท้ซึ่งตลอดมา เนื่องจากการถูกรังเกียจเดียดฉันท์ ทำให้ความเข้าใจเรื่องนี้อยู่ในวงจำกัด เราทราบแต่เพียงว่า ปัจจัยที่สำคัญนั้นจะต้องป้องกันที่การเลี้ยงดูในวัยเด็ก โดยการส่งเสริมบทบาทที่เกื้อกูลกันและสัมพันธภาพที่ดีของคนเป็นพ่อแม่

ทั้ง สองข้อหลังเป็นประเด็นที่สำคัญมาก เพราะมีคนพยายามเสนอว่า สิทธิของบุคคลกับสิทธิของชุมชนจะขัดแย้งกันได้ไหมคือ หากยอมรับพฤติกรรมรักร่วมเพศ ซึ่งเป็นสิทธิส่วนบุคคลนั้นเท่ากับเป็นการละเมิดสิทธิของชุมชน โดยอ้างเหตุผลสองประการหลังที่ผมได้กล่าวไปแล้ว

อย่าง ไรก็ตามแม้จะมีความเข้าใจผิดข้างต้นอยู่ก็จริง แต่จากการศึกษาวิจัยของทั่วโลกก็พบว่า บุคคลที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศก็มีความเสี่ยงต่อปัญหาต่าง ๆ ได้แก่

* การพยายามทำลายชีวิตตนเอง
* การมีชีวิตคู่ที่ไม่ยั่งยืน
* การติดสารเสพย์ติด

ทั้ง สามประการนี้เป็นปัญหาสังคมนะครับ ไม่ได้เป็นความแปรปรวนหรือความผิดปรกติ หรือความวิตถารทางจิตเลย ทั้งสามประการนี้ เป็นผลมาจากการที่สังคมรังเกียจเดียดฉันท์ทำให้คนรักร่วมเพศต้องปิดขังตัว เอง อยู่อย่างด้อยศักดิ์ศรีและไร้คุณค่าในหลายกรณี ดังนั้นโดยตัวมันเองแล้ว เรียกว่า เป็นโรคแห่งความรังเกียจเดียดฉันท์ และในการศึกษาทางด้านจิตวิทยาสังคม เราก็พบว่า เมื่อเกิดการรังเกียจเดียดฉันท์ขึ้นที่ใด เช่น ผู้ติดเชื้อเอดส์ คนต่างผิว ต่างเชื้อชาติ ต่างศาสนา สามปัญหานี้ก็จะตามมาเช่นเดียวกันไม่ได้เกิดเฉพาะคนรักร่วมเพศเท่านั้น

ถ้า ไม่มีการรังเกียจเดียดฉันท์คนเราก็จะมีความสามารถในการปรับตัวมากขึ้น ไม่ต้องไปอยู่ในสถานการณ์พิเศษที่ต้องปรับตัวเป็นพิเศษ ซึ่งการปรับตัวนั้นอาจทำให้เข้มแข็งขึ้นก็ได้ หรือในทางตรงข้าม ถ้าปรับตัวไม่ได้ก็อาจนำไปสู่สภาพที่อาจต้องทำลายชีวิตตัวเอง ทำลายชีวิตคู่และใช้สารเสพย์ติด

ถาม ว่า การรังเกียจนี้มีผลอย่างไรต่อสังคม มีผลมากนะครับ เพราะทำให้เกิดอวิชชา เช่น เข้าใจผิดเกี่ยวกับเอดส์ ทำให้เรารังเกียจเอดส์ และนี่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เอดส์ขยายตัวแพร่หลายอย่างยิ่งทีเดียว

ที่มา : นิตยสารสารคดี

กรูไม่ช่ายเกย์ จะจีบทำม้ายยย

Sunday, July 19, 2009

เรื่องที่จะเอามาลง เป็นเรื่องที่อยู่ในเวปพันทิพ โดยคุณเซ้งเป็ดนะครับ นานแล้วแหละครับบทความนี้ เห็นว่าเข้าท่าดี

เผื่อบางคนยังไม่ได้อ่าน ถึงไม่ได้ขออนุญาต เอามาลงอย่างเป็นทางการ แต่ก็ให้ credit ไว้นิดนึง

ชื่อเรื่องในพันทิพ "กรูไม่ช่ายเกย์ จะจีบทำม้ายยย" มีหลากหลายรสชาติมาก ลองติดตามกันดูนะครับ

.....เมิงขออะไรหน่อยได้มั๊ย......

......ขออะไร

......ขอหัวใจเมิงอ่ะ หัวใจตรูมันเรียกร้อง

แมร่งงงงงงง ประโยคพรรค์นี้ผมได้ยินบ่อยมากกกกกก

ได้ฟังที่ไรปวดไปถึงตับ จุกทุกที คิดได้ไง

เรื่อง ของเรื่องคือผมเป็นน้องใหม่ แล้วมันทำงานมาก่อน ทีนี้มันคงแอบชอบผมมั้ง หน้าตาก็ดีทำไม๊ ทำไมไม่ไปเอาผู้หญิง ผมเคยถามมัน....มันบอก

กรูไม่ชอบตีฉิ่ง....ไอ้กร๊วก...

ทุก เช้าวันจันทร์ผมจะเจอน้ำเต้าหู้ตั้งอยู่บนโต๊ะ เมื่อก่อนมันซื้อปาท่องโก๋ด้วย แต่พอผมบอกว่ากินปาท่องโก๋ทีไรนึกถึงแฟนทุกที มันก็ไม่ซื้อมาให้เห็นอีกเลย

........ทำไมมันถึงคิดว่าผมจะชอบมันน่ะเหรอครับ มาดูเหตุผลมัน

1. ก็เมิง(มันเรียกผมว่าเมิง)เดินตูดบิดนี่หว่า

2.เครื่องประทินโฉมเมิงเยอะจัด

3.เมิงทิ้งแฟนเมิง แสดงว่าเมิงไม่ชอบผู้หญิง...(ที่จริงเค้าทิ้งผม)

4.ถึงเมิงจะเตะบอลแต่ เมิงเล่นบอลไม่เก่ง เมิงเล่นวอลเล่เก่งกว่า

5.เมิงไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่เหมือนตรู

6.ที่สำคัญตรูว่าชาติที่แล้วเมิงต้องเป็นเมียกรู ไม่งั้นกรูไม่รู้สึกกับเมิงแบบนี้หรอก.......

คิดดูผมต้องทนกับคำพูดเล้าโลม เอ้ย แทะโลมแบบนี้เกือบทุกวัน

วันไหนมันอารมณ์ดี มันก็จะร้องเพลงออกมาให้ฮากันทั้งแผนก

" อาจเป็น.......เพราะเรา........คู่กันมาแต่ชาติไหน"

ชาติสุนัขสิว่ะ แมร่ง....ผมอายจนต้องสำรอกคำนี้ออกมาอ่ะ คิดดูว่าผมต้องทนกับมันขนาดไหน

จริง มันเป็นเพื่อนที่ดีนะ แล้วผมก็ไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นเกย์ และมันก็บอกเสมอว่า"เมิงว่ากรูเป็นเกย์อีกคำเดียว เมิงเป็นเมียกรูแน่คืนนี้"

ผมรีบเอาเข็มกับด้ายมาร้อนแล้วเย็บปากตัวเองทันที

....."ทำไมห้องเมิงสะอาดจังว่ะ" มันถาม ผมก็บอกว่าผมเป็นภูมิแพ้ มันก็บอกว่า"ก็ให้กรูมาอยู่ด้วยสิ กรูจะได้รับความทุกข์ไว้เอง"

คือบอกไม่ถูกมันจะพูดประมาณพี่แท่งอ่ะ ผมว่าถ้าผมเป็นผู้หญิงผมคงว่ามันโคตรรรรรเสร่อเลยแหละครับ

แต่จะไปต่อล้อต่อเถีงกับมันมากไม่ได้ มันจะปล้ำเอาทุกที

มีอยู่ครั้งนึงออกไปทำงานไฟล์เดียวกันต้องขับรถออกไปด้วยกัน และรอกว่าเครื่องจะลงก็ต้องนอนรอในรถ

อยู่ๆมันก็บอกว่า

"ถ้าเมิงเป็นผู้หญิง กรูว่าเมิงเอ๊กซ์น่าดู เมิงว่าเมิงจะนมใหญ่ป่าว"

"นมกรูใหญ่รึป่าวไม่รู้ แต่ถ้ากรูเป็นผู้หญิงแล้วเมิงคิดแบบนี้กับกรู กรูจะเป็นทอม"

"ถึงเป็นทอมก็รัก" ผมอึ้ง แล้วก็อึ้ง ขนลุกซู่ๆ

...........................................................................

มันบอกว่า" เป็นไปได้มั๊ยที่คนเราไม่ใช่เกย์แต่จะชอบผู้ชายด้วยกัน"

ผมก็เลยย้อนถามมันไปว่า"แล้วผู้ชายที่ชอบผู้ชายเมิงเรียกอะไร"

มันบอก"เกย์"

แล้ว ก็มองหน้าผมบอกว่า "เดี๋ยวเถอะเมิง เดี๋ยวโดนกรูยัดเยียดความเป็นผัวให้แล้วจะรู้สึก" แมร่ง คำนี้คือคำที่มันชอบขู่ ตอนแรกโกรธ หลังๆขำว่ะ

ผมพยายามถามว่าทำไมถึงไม่ไปจีบผู้หญิง

มัน บอกว่าไม่รู้สิ มันก็ชอบผู้หญิงนะ ผู้ชายคนอื่นมันก็เฉยๆนะ แต่กับผม พออยู่ใกล้แล้วมันเสียวซ่าน(มันใช้คำนี้จริงๆ พร้อมทำหน้าหื่น)

ตอนแรกผมนึกว่ามันล้อเล่น แต่หลังๆมันไปถึงบ้าน

ซื้อ ข้าวของไปฝากแม่ ที่เด็ดสุดเคยซื้อ นมตราหมีไปฝากแม่ แล้วบอกแม่ว่า "ให้แม่ เพื่อคนที่คุณรัก" แม่จะชอบมันมาก เพราะมันโคตรปะเหลาะ

ชอบคุยกับแม่ สักพักก็บอกว่า ขอลูกแม่สักคนได้ป่าว แม่ก็บอกน้องนุ่นแม่ไม่ให้ เอาน้อง....(ผมเอง)ไปแทน เข้าทางมันเลยครับ

บอกงั้นมันจะให้แม่มาขอ ดูมันเลวววววว...

..... พอตกดึกมันจะขอนอนที่บ้าน มันบอกว่า" บ้านอ้อย รกจะตายยยย" ผมต้องขู่มันอ่ะ ว่าถ้ามันไม่กลับไปบ้าน ผมจะไม่ให้มาที่บ้านอีก มันถึงยอม.........

ถึงคุณผู้ชาย เลือก กางเกงลิง อย่างไรไม่ให้น้องเจ็บ!!

Saturday, July 18, 2009

หลังจากที่ทีมงาน Life and Family ได้นำเคล็ดลับดีๆ มาฝากคุณแม่และคุณลูกสาวกันแล้ว คราวนี้ถึงเวลาของคุณพ่อและคุณลูกชายกันบ้างว่ามีเคล็ดลับอะไรบ้างเมื่อจะ ต้องเลือกซื้อ "ชุดชั้นในชาย" หรือ "กางเกงใน" ที่เราเรียกกัน

หาก มีโอกาสได้เดินตามห้างสรรพสินค้า เราจะสังเกตว่ากางเกงในชายนั้นมีให้เลือกหลายรูปแบบ ดีไซน์มากมายหลายประเภท จนผู้ชายหลายคนก็คงเลือกไม่ถูกเช่นกัน ดังนั้นเพื่อไม่เป็นการเสียเวลา เราลองมาดูกันว่า กางเกงในแต่ละประเภทนั้นมีแบบไหนกันบ้าง และจะเลือกอย่างไรเพื่อให้เหมาะสมกับคุณพ่อและคุณลูกชายกันค่ะ

กางเกงในแบบขาสั้น หรือที่เราคุ้นกันว่า Boxer เป็นกางเกงในไม่กระชับ ใส่สบาย แต่ไม่สามารถใส่เคลื่อนไหวมากนัก เช่น การออกกำลังกาย เป็นต้น ที่เป็นที่นิยมคนไทยอย่างเราๆ ได้รับอิทธิพลมาจากชาวตะวันตก ส่วนมากจะมีความยาวครึ่งต้นขา ทั้งนี้กางเกงประเภทนี้กลายเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นเป็นจำนวนมาก ซึ่งเทรนด์การใส่ Boxer นี้ได้ลามไปถึงผู้หญิงบางกลุ่มเรียบร้อยแล้ว

กางเกงในขาสั้นรัดรูป กางเกงรูปทรงนี้จะต่างจากแบบแรกตรงที่ว่ากางเกงในแบบนี้เพิ่มความกระชับให้ สะดวกต่อการเคลื่อนไหวมากยิ่งขึ้น แต่ไม่ได้โอบอุ้มน้องชายของคุณผู้ชายมากนัก

Pouch boxer คือ กางเกงในขาสั้นแบบกระชับอีกชนิดหนึ่ง ที่โอบอุ้มน้องชายของเราได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าหนุ่มหรือแก่ก็จะพกความมั่นใจได้มากขึ้นเพราะความกระชับของกางเกงตัว นี้

กางเกงในยอดฮิต (1) กางเกงในแบบนี้เราคงเห็นมากันตั้งแต่จำความได้ เพราะกางเกงในประเภทนี้ในเมืองไทยมีหลายยี่ห้อหลายรูปแบบ แต่ปัจจัยที่จำเป็นต่อการเลือกนั้น คือ คุณภาพของเนื้อผ้า การระคายเคือง และที่สำคัญอย่าเลือกที่กระชับมากจนเกินไปนักเพราะอาจจะทำให้น้องชายของเจ้า ของกางเกงเจ็บปวดได้ ทั้งนี้กางเกงในแบบนี้มีจุดเด่นอยู่ตรงที่ ความสบายตรงที่เปิดต้นขาสูง เอวต่ำ เพิ่มเสน่ห์ต่อสาวๆ ได้มากทีเดียว

กางเกงในยอดฮิต (2) รูปแบบนี้ อาจจะมีปัญหากับผู้สวมใส่บางท่าน เพราะขอบยางที่มีเฉพาะกางเกงในแบบนี้ทำให้ผู้สวมใส่บางท่าน เกิดการระคายเคืองเนื่องจากการเสียดสีระหว่างขอบกางเกงกับเนื้อของเราเมื่อ เคลื่อนไหว ดังนั้นกางเกงในแบบนี้จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ค่อยมั่นใจในรูปร่างของตัวเอง เท่าใดนัก

กางเกงในจีสตริง หาก ผู้หญิงมีจีสตริงเพื่อแสดงถึงความเซ็กซี่เล็กๆ สำหรับผู้ชายแล้วก็มีให้เลือกไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เพราะผู้ชายที่ต้องการความเซ็กซี่ก็สามารถเลือกใส่จีสตริงสำหรับผู้ชายโดย เฉพาะ ซึ่งหากท่านใดที่พกความมั่นใจจนล้นกระเป๋า พร้อมน้อมรับฉายา "ผู้ชายเซ็กซี่ที่สุดแห่งปี" กางเกงในประเภทนี้คงเป็นคำตอบสุดท้ายสำหรับคุณแน่นอน

ทั้ง นี้ไม่ว่าจะเลือกซื้อกางเกงในแบบใด ยี่ห้อไหน สีอะไร สิ่งที่คุณผู้ชายหรือคุณแม่บ้าน (ในกรณีที่ซื้อฝากหัวหน้าครอบครัวหรือลูกชาย) ควรคำนึงถึงประโยชน์ในการสวมใส่เป็นอันดับแรกว่า การเลือกที่จะใส่กางเกงในแต่ละประเภทนั้น มันเหมาะสมกับเจ้าตัวหรือไม่ หรือมีความกระชับมากน้อยเพียงใด เพราะหากมองหาแต่ความสวยงามและยี่ห้อเป็นหลัก มีหวังคงต้องไปปรึกษาแพทย์ในภายหลังเพราะโรคเกี่ยวกับตรงนั้น... "น้องชายของคุณ" แน่นอน โดยเฉพาะโรคไส้เลื่อน ที่จะมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการใส่กางเกงในรัดแน่นจนเกินไป ทำให้เลือดไหลเวียนได้ไม่ดี อีกทั้งยังก่อให้เกิดเชื้อโรคที่หมักหมมได้อีกด้วย

ที่มา : กระปุกดอทคอม

10 นิสัยไม่ดีที่เพื่อนขอเมิน

Friday, July 17, 2009

ผลสำรวจ10 นิสัยและพฤติกรรมไม่ดีของเพื่อน …ว่าแต่เพื่อนแบบไหนหนอที่ถูกโหวตว่าหน้ายี้ที่สุด…

อันดับ 1 ขอแบนเพื่อนขี้จุ๊ 30 %

ย้อนกลับมาคิดถึงตัวเอง เราก็คงไม่อยากถูกเพื่อนโกหกเหมือนกัน ถ้าเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่มีผลกระทบกับใครนั้นก็พอปิดหูปิดตาได้ แต่ถ้าโกหกจนเป็นนิสัย โกหกเป็นเรื่องเป็นราว เข้าขั้นหลอกลวงกันเห็นๆ แบบเนี้ย พวกเราลงความเห็นกันว่า “ยี้มั๊กๆ”

อันดับ 2 เม้าธ์และเมี้ยน 20 %

ต่อหน้าอย่างลับหลังอย่าง เรื่องจริงไม่จริงก็เอาไปพูดไปเมี้ยนซะจนเสียหาย ถ้าต้องคบกันแบบระแวงจะถูกแทงข้างหลังตลอดเวลาแบบนี้ ลดระดับเป็นแค่คนเคยรู้จักก็พอมั้ง

อันดับ 3 เลิกอวดซะทีเถอะ! 13 %

โอ๊ะ โอ๋ เรารู้ว่าเพื่อนมีเรื่องดีๆ ในชีวิตก็อยากจะเล่าอยากจะบอกให้เพื่อนได้รับรู้ แต่เราก็ไม่ได้อยากรู้ไปซะทุกเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรวยเวอร์ๆ หรือเป็นผู้หยั่งรู้จนออกหน้าออกตา เห็นมากๆ มันก็ “…ยี้ หมั่นไส้” เหมือนกันนะ

อันดับ 4 มาก๊อปปี้กันทำไม? 10 %

ก็จำได้ว่าเราไม่เคยมีพี่น้องฝาแฝด แต่ทำไมเวลาเจอยัยนี่ทีไร เหมือนมีแฝดขึ้นมาซะได้ มันน่ายี้เพราะคนอื่นก็ไม่รู้ว่าใครเลียนแบบใครกันแน่ ถ้าบังเอิญเหมือนกันบ้างยังพอรับได้ แต่ถ้าตั้งใจเจริญรอยตามขนาดนี้มันหลอนมากกว่าน่ารักนะเพื่อน

อันดับ 5 ไม่งอนสักเรื่องได้มั้ย 8 %

ทั้งยี้ทั้งเอือมเมื่อโดนเพื่อนขี้งอน งอนวันละ 3 เวลา และถ้าเป็นหนักๆ ถึงขั้นว่า งอนก็ง่าย ง้อก็ยาก ถามก็ไม่พูด แบบนี้ไม่ว่าใครก็พากันยี้อย่างแน่นอน

อันดับ 6 เค็มชะมัด 7%

ถ้าขอยืมไอพอดแล้วเพื่อนปฏิเสธอันนี้ไม่จัดว่าขี้เหนียว แต่ถ้าลิควิดบนโต๊ะน่ะ “ขอยืมหน่อยสิ” เพื่อนหันมามองด้วยสีหน้าวีนๆ แล้วพูดว่า “ทำไมไม่ซื้อใช้เองบ้าง” ยี้ อะไรจะงกขนาดน้านนน

อันดับ 7 ปากเสีย! 5%

เพื่อนรับได้ ถ้าเพื่อนจะกัดจะแขวะกันพอหอมปากหอมคอ แต่ถ้าสิ่งที่พ่นออกมาดันทำให้เราถึงกับเสียเซลฟ์ หรือเสียหน้าต่อสาธารณชน อย่างเช่น เอาปมด้อยเพื่อนมาล้อ เอาเรื่องหน้าแตกเพื่อนมาขาย แบบนี้คงทำไม่รู้ไม่ชี้ไม่ลง

อันดับ 8 ขี้กลัวหัวหด 4%

ชวนไปทะเลก็กลัวเรือล่ม ชวนไปปีนเขาก็กลัวหลงป่า ชวนไปห้างเห็นว่ามีข่าววางระเบิดก็ไม่ไป อยากให้ไปลองชิมอาหารร้านใหม่ก็กลัวท้องเสีย เฮ้อ เป็นขนาดนี้ฉันก็กลัวเธอเหมือนกันนะเนี่ย (กลัวว่าเธอจะเป็นโรควิตกจริตเข้าสักวัน)

อันดับ 9 ยืมจั๊ง… 2%

ขอย้ำว่ายี้มากๆ ถ้าเจอคนประเภทยืมมันทุกอย่างเท่าที่จะยืมได้ ไล่กันตั้งแต่เงิน ของใช้ส่วนตัว ของที่ไม่มีใครเขายืมกัน และจะยี้ยกกำลังสอง ถ้ายืมถี่ๆ เป็นกิจวัตร จนบางทีเราต้องแอบสงสัยว่า ชีวิตนี้ไม่คิดจะมีสมบัติส่วนตัวเป็นของตัวเองสักชิ้นเลยเหรอ???

อันดับ 10 บ่นเป็นหมีกินผึ้ง 1%

ก็ถ้าคุณบ่นทุกอย่างที่รู้สึกขัดใจ บ่นในสิ่งที่เราเองก็แก้ไขให้ไม่ได้ เรื่องผ่านไปแล้วก็ยังบ่นไม่เลิก ระวังเหอะ ทำเพื่อนยี้หนักๆ เข้า เพื่อนหนีหายหมดไม่รู้ด้วย

ที่มา : seventeen

25 วิธี ดูแลรักษาความรัก

Wednesday, July 15, 2009

ความรักทำให้ชีวิตมีความสุข ใครที่มีความรักและได้รับความรักตอบ ย่อมเป็นความสุขของชีวิต ในทางตรงกันข้ามหากรักที่เคยสร้างสุข กลายมาเป็นหมดรัก ชีวิตย่อมเป็นทุกข์ ความรักที่มีจึงต้องดูแลอย่างดี เพื่อให้ความรักนั้นไม่จากไป ดังเช่น 25 วิธี ต่อไปนี้…

1. อย่าเขินที่จะบอกรัก

2. จดจำรายละเอียดของอีกฝ่าย เช่น ชอบทานอะไร ชอบฟังเพลงแนวไหน กิจกรรมสุดโปรดคืออะไร แล้วหยิบยื่นสิ่งเหล่านี้ให้เสมอ

3. โรแมนติกอย่างรู้กาละเทศะ เลือกสถานที่ให้ถูกที่ เลือกเวลาให้ถูกเวลา เรื่องโรแมนซ์ใครก็ชอบ แต่ความพอเหมาะพอดีก็สำคัญ

4. ให้เกียรติกันและกันเสมอ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง

5. อย่าปล่อยให้อารมณ์โกรธอยู่เหนือความรักที่มี นึกถึงเรื่องดีๆ ที่เขาเคยทำให้ จะช่วยให้อารมณ์โกรธหรืออารมณ์ชั่ววูบเบาบางลง

6. เมื่อมีปัญหาควรใช้เหตุผลในการพูดคุย เป็นเรื่องธรรมดาที่คนสองคนจะมีเรื่องขัดแย้ง แต่ถ้าทั้งคู่พร้อมที่จะปรับตัวเข้าหากัน ปัญหาทั้งหลายก็จะกลายเป็นเรื่องเล็ก

7. ปล่อยให้อีกฝ่ายมีเวลาเป็นของตัวเอง การเกาะติด ควบคุมมีแต่จะทำให้ความรักจืดจางได้ง่าย ปล่อยให้อีกฝ่ายไปเที่ยวกับเพื่อนบ้าง รวมทั้งพยายามให้ตัวเองมีโลกส่วนตัวบ้าง จะได้ไม่อึดอัดเช่นกัน

8. พูดกันตรงๆ โดยเลือกใช้คำพูดที่ไม่ทำร้ายจิตใจ

9. มีขอบเขตในการปรับตัว แน่นอนว่าต่างฝ่ายทั้งเราและเขาต่างต้องปรับตัวเข้าหากัน แต่ควรมีขอบเขต ไม่ใช่ยอมเปลี่ยนแปลงให้เป็นแบบที่อีกฝ่ายต้อวการทุกอย่าง จนไม่เหลือความเป็นตัวของตัวเอง เพราะไม่มีใครสามารถเปลี่ยนตัวเองเพื่อคนอื่นได้ตลอดกาล

10. ห้ามโกหก ผลลับที่ร้ายแรงของการโกหกคือ ต่างฝ่ายจะไม่สามารถเชื่อใจกันได้อีก

11. อย่าคาดคั้นหาคำตอบหาอีกฝ่ายยังไม่พร้อม การดึงดันให้รู้เดี๋ยวนั้น ว่าทำไม? เพราะอะไร? จะเอายังไง? เป็นการกดดันอีกฝ่ายอย่างไม่มีประโยชน์ หากอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด ควรลองถอยออกมาหนึ่งก้าว ทำใจให้สงบ รอจนกว่าทั้งสองฝ่ายจะพร้อม แล้วค่อยคุยกันใหม่ก็ยังไม่สาย

12. ดูแลตัวเองให้ดูดีเสมอ

13. ไม่ควรคาดหวังกับความรัก เพราะเป็นเรื่องความรู้สึกของคนสองคนที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ และไม่มีกฏเกณฑ์ตายตัว อย่าคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จะทำนั่นทำนี้ให้ เพราะถ้าผิดหวังจะเสียใจทั้งสองฝ่าย ควรปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ

14. ห้ามพูดถ้อยคำหยาบคาย จะทะเลาะกันรุนแรงแค่ไหน ก็ห้ามด่าทอกันเสียๆ หายๆ

15. ซื่อสัตย์และไว้ใจกัน

16. หาสิ่งของที่ต้องดูแลร่วมกัน เช่น เลี้ยงสัตว์ ต้นไม้ หรือกิจการเล็กๆ เพื่อสร้างความผูกพันระหว่างสองคน

17. ให้โอกาสอีกฝ่ายแก้ไขข้อผิดพลาด กับคนที่เรารักยิ่งต้องให้อภัยและให้โอกาส

18. อย่าอายที่จะขอโทษ

19. หากิจกรรมสร้างสรรค์ทำร่วมกัน เช่น ชวนกันเล่นกีฬา ไปดูงานศิลปะ เพื่อให้ความรักสดใส และได้พบสิ่งใหม่ๆ ในชีวิต

20. นึกถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายเสมอ อย่ามัวแต่คิดว่าทำไมอีกฝ่ายไม่เข้าใจเรา นอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้ว ยังทำให้เป็นคนขี้น้อยใจอย่างไม่มีเหตุผล

21. รู้สึกดีกับสังคมที่อยู่ ทั้งพ่อแม่ พี่น้อง เพื่อน เพื่อยกระดับจิตใจและทำให้ภูมิใจในตัวเอง

22. อย่าปิดกั้นโอกาส เปิดตัวเองให้รู้จักกับคนใหม่ๆ เพราะการได้รู้จักคนที่หลากหลาย จะทำให้รู้คุณค่าคนใกล้ตัวและรู้ใจตัวเอง

23. รู้จักใช้ภาษากายในการสัมผัสร่างกายของอีกฝ่าย เช่น จับมือ ลูบหลัง เพราะสามารถสื่อความในใจได้ดีกว่าคำพูดในหลายโอกาส

24. คิดถึงอนาคต แต่อย่าพูดบ่อยจนกลายเป็นการควบคุมผูกมัด พูดในจังหวะที่เหมาะสม ให้รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ในแผนการอนาคตของกันและกัน

25. รู้จักรักตัวเอง เพื่อให้สามารถรักคนอื่นได้เช่นกัน

ที่มา : กิ๊กเกย์ดอทคอม

ความรู้เรื่อง “โรคเอดส์ HIV” สาเหตุ อาการ การป้องกัน การรักษา เอดส์

Tuesday, July 14, 2009

โรคเอดส์ มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Acquired Immune Deficiency Syndrome มีชื่อโดยย่อว่า AIDS = เอดส์
hiv

ริบบิ้นสีแดง สัญลักษณ์ของกลุ่มช่วยเหลือผู้ป่วยเอดส์

โรคเอดส์ คือ โรคที่ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายบกพร่องจนไม่สามารถต่อสู้เชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ที่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ง่ายกว่าคนปกติ

ขณะนี้โรคเอดส์กำลังระบาดในทวีปอเมริกา ยุโรป อาฟริกา แคนนาดา โรคนี้ได้ติดต่อมาถึงบางประเทศในเอเชีย รวมทั้งประเทศไทย

โรคเอดส์เกิดจากอะไร

โรคเอดส์เกิดจากเชื้อไวรัส มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Human Immunodeficiency Virus (HIV)

โรคเอดส์เป็นกับใครบ้าง

โรคเอดส์ส่วนใหญ่ที่พบในประเทศไทย มักเกิดในพวกรักร่วมเพศ ชายที่เปลี่ยนคู่บ่อย ๆ ปัจจุบันพบว่าเกิดในพวกรักต่างเพศได้ โดยเฉพาะในเพศชายที่ชอบเที่ยวโสเภณี

โรคเอดส์ติดต่อกันได้อย่างไร

โรคเอดส์ติดต่อกันได้หลายทาง แต่ที่สำคัญ และพบบ่อย ได้แก่

* การร่วมเพศกับผู้ป่วยโรคเอดส์ หรือมีเชื้อโรคเอดส์
* การรับถ่ายเลือดจากผู้ป่วยโรคเอดส์ หรือมีเชื้อโรคเอดส์
* การใช้เข็มฉีดยาที่ไม่สะอาด หรือร่วมกับผู้ป่วยโรคเอดส์
* จากแม่ที่ตั้งครรภ์ป่วยเป็นโรคเอดส์ ติดต่อไปถึงลูกที่อยู่ในครรภ์

โรคเอดส์ไม่ติดต่อโดยการเล่นด้วยกัน รับประทานอาหารร่วมกัน เรียนร่วมกัน ไปเที่ยวด้วยกัน หรืออยู่ในครัวเรือนเดียวกัน หากไม่มีความเกี่ยวข้องทางเพศ

อาการของโรค

หลังจากได้รับเชื้อโรคเอดส์เข้าไปในร่างกายแล้ว จะมีระยะฟักตัวประมาณ 2-3 เดือน จึงตรวจพบเลือดบวกต่อโรคเอดส์ ผู้ที่ติดเชื้อไม่จำเป็นต้องมีอาการทุกคน ระยะฟักตัวก่อนมีอาการแตกต่างกันมากจาก 2-3 เดือน ถึง 5-6 ปี ประมาณกันว่า 25-30% ของผู้ที่ติดเชื้อจะแสดงอาการภายใน 5 ปี อีก 70% จะไม่มีอาการ แต่จะเป็นพาหะของโรค และแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้

อาการที่พบในผู้ป่วยโรคเอดส์

* อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
* มีไข้นานเป็นเดือน ๆ
* ต่อมน้ำเหลืองโต
* ท้องเดินเรื้อรังจากโรคพยาธิ
* มีแผลในปาก และตามผิวหนัง
* มีอาการทางสมอง เช่น ชัก อัมพาต
* โรคติดเชื้อต่าง ๆ โดยเฉพาะปอดบวมจากพยาธิ เชื้อรา วัณโรค ฯลฯ
* มะเร็งของต่อมน้ำเหลือง เม็ดเลือด และสมอง ฯลฯ

การวินิจฉัย

โรคเอดส์วินิจฉัยได้จากอาการข้างต้น ประกอบกับการตรวจเลือดบวกต่อโรคเอดส์ วิธีการตรวจเลือดมี 2 วิธี วิธีแรกเรียกว่า Elisa ถ้าพบว่าเลือดบวก จะตรวจยืนยันโดยวิธี Western Blot การตรวจเลือดนี้ไม่จำเป็นต้องทำในคนทั่วไป แต่ควรตรวจในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคนี้สูง ซึ่งได้แก่พวกรักร่วมเพศ ผู้หญิง และชายบริการ ผู้ที่ได้รับการถ่ายเลือดบ่อย ๆ ผู้ติดยาทางเส้นเลือด

การรักษา

ปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคเอดส์ให้หายขาดได้ การรักษาจึงเป็นการรักษาโรคติดเชื้ออื่น ๆ ที่แทรกซ้อนซึ่งไม่ค่อยได้ผลนัก เพราะผู้ป่วยขาดภูมิต้านทาน และมักเสียชีวิตเนื่องจากโรคติดเชื้อ

การป้องกัน

1. ไม่สำส่อนทางเพศ ควรสมถุงยางอนามัยเวลาร่วมเพศกับคนแปลกหน้า พยายามอย่าเปลี่ยนคู่นอนในหมู่รักร่วมเพศ อย่าร่วมเพศกับผู้ป่วย หรือสงสัยว่าเป็นโรคเอดส์
2. ก่อนรับการถ่ายเลือด ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้บริจาคเลือดไม่มีเชื้อโรคเอดส์
3. อย่าใช้เข็มฉีดยาที่ไม่สะอาด หรือร่วมกับผู้ติดยาเสพติด

ที่มา : กิ๊กเกย์ดอทคอม

วิธีเติมความหวือหวาให้ชีวิตรักของคุณ

Monday, July 13, 2009

คู่รักที่คบกันมานาน มักจะเก่งในการรักษาความมั่นคงเอาไว้ ได้เป็นอย่างดี แต่คุณก็ต้องเขย่าบัลลังก์รักของคุณบ้างเป็นครั้งคราว เพื่อที่จะคงความหวานชื่นและทำให้ไฟสวาทยังลุกโพลง ฉะนั้นเพื่อ ให้แน่ใจว่าความรักของคุณจะยังคงมีความหวือหวาเล็กๆน้อย อยู่ เสมอ เราขอแนะนำหลากหลายวิธีที่แปลกประหลาด และบางครั้งถึง ขึ้นเพี้ยนที่จะให้ความรู้สึกวาบหวิวและปั่นป่วนใจแก่คุณได้ คว้าตัว หนุ่มของคุณมา สลัดความมีเหตุมีผลของคุณทิ้งไป

1. ไปเที่ยวโดยไม่วางแผน ออกท่องเที่ยวแบบกระทันหัน โดยใช้โชคชะตาเป็นผุ้นำทาง เพียงแค่กระโดดขึ้นรถ โดยไม่มีจุด หมายปลายทางอยู่ในใจ เข้าพักในโรงแรมที่ไม่แพงแต่ดูดี และทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวในเมืองที่คุณดุ่มมา ถึงแม้จะเป็นเมืองที่อยู่ถัดไปแค่นี้ก็เถอะ ในเมื่อคุณไม่สามารถวางแผนได้ คุณก็ต้ตองปล่อยไป และเนื่องจาก ไม่มีใครรู้จัก หรือแคร์ว่าคุณเป็นใคร คุณก็มีอิสระที่จะซ่าได้ตามใจคุณ

2. นั่งรถไฟเหาะ พุ่งตรงไปสวนสนุกแห่งที่อยู่ใกล้ที่สุด แล้วกระโดดขึ้นเครื่องเล่นทุกอย่างที่นั่น ซึ่งเสียวไส้จนหัว ใจเต้นโครมคราม คุณจะรู้สึกเหมือนสาววัย 16ที่ฮอร์โมนกำลังเดือดพล่านอีกครั้งอะดรีนาลีนที่พลุ่งพล่าน จากการนั่งเครื่องเล่น จะนำความคึกคักกลับคืนสู่ห้องนอนคุณ เพราะความตื่นเต้นทั้งมวลนั่น จะเพิ่มระดับ เทสทอสเทอโรนในร่างกายคุณ ซึ่งจะทำให้คุณรู้สึกมีอารมณ์ใคร่

3. แกล้งสักให้จั๊กจี้เล่น การลงหมึก (เพียงชั่วคราว) ในจุดที่อีโรติก เป็นองค์ประกอบอีกอย่างหนึ่งของการสร้างอารมณ์ พิศวาส เพราะถึงแม้มันจะเลือนหายไปได้ แต่การสักก็เป็นของต้องห้ามอยู่ดี ส่วนที่เริ่ดที่สุด ก็คือการได้ เห็นงานศิลปะบนนวลเนื้อของคุณค่อยๆลบเลือนไป จากการกอดจูบลูบไล้ที่คุณกำลังจะทำอยู่ไงล่ะ

4. วันหยุดสุดสัปดาห์อันแสนหวาน ไม่นัดหมายกับใคร เอานาฬิกาของคุณไปซ่อน และไม่สนใจเรื่องเสื้อผ้าไปสองวันเต็มๆ จากนั้น ก็ เช่าหนังมาดู ผลัดกันนวด อาบน้ำด้วยกัน และไม่ย่างเท้าออกจากบ้านเลย เว้นเสียแต่จะเกิดไฟไหม้ การหมก ตัวอยู่แต่ในบ้านของคุณ อาจจะฟังดูเกินไปหน่อย แต่มันเป็นวิธีดีเยี่ยมที่จะได้ใกล้ชิดกันอีกครั้ง และจุดประ กายไฟของวันคืนเก่าๆ ที่คุณเฝ้าคิดถึงแต่กันและกันเท่านั้น ให้กลับปะทุขึ้นมาอีกครั้ง และในเมื่อมีกันแค่ สองคน อะไรๆ ก็ย่อมเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น อย่างเช่น สั่งอาหารเย็นมาทานที่บ้าน แล้วสิ่งต่อไปที่คุณรู้ตัว คุณ อาจจะกำลังรับประทานปอเปี๊ยทอด บนร่างเปลือยเปล่าของกันและกันอยู่ก็ได้ ^^

5. ลักพาตัวหนุ่มของคุณ ปิดตาเขาไว้ แล้วขับรถวนเป็นวงกลมจนกระทั่งเขาหลงทาง จากนั้น ก็นำเขาไปยังจุดหมายปลาย ทางที่เป็นความลับ ร้านอาหารสุดโปรดของเขา สนามบอล หรือที่สันโดษที่จะแอบจู๋จี๋กันได้ การแอบวาง แผนเดทกับเขา พร้อมทั้งความเร้าใจจากการเล่นลักพาตัว จะช่วยกระชากคุณทั้งคู่ออกจากความซ้ำซาก ของชีวิตแบบเดิมๆ และครั้งต่อไป เขาอาจเป็นฝ่ายเริ่มต้นขึ้นก่อนก็ได้ ทำให้มันกลายเป็นความท้าทายที่จะ ได้เห็นว่าใครจะเหนือกว่ากัน

6. วิเคราะห์เจาะลึกกันและกัน ถึงแม้คุณจะคิดว่า รู้ถึงความแตกต่างทุกอย่างของกันและกันหมดแล้ว แต่การวิเคราะห์ลายมือ เขียนหนังสือ หรืออ่านเส้นลายมือ จะเผยให้เห็นแง่มุมอื่นของตัวคุณที่แตกต่างออกไป และเตือนใจให้คุณ ระลึกถึงลักษณะนิสัยพวกนั้น ที่ทำให้คุณติดอกติดใจกันในตอนแรก ไม่ว่าเขาจะเป็นนักปฏิบัติแต่คุณเป็น คนช่างฝัน หรือคุณเป็นคนเฮฮา แต่เขาจัดว่าขี้อาย การวิเคราะห์ของคุณจะทำให้เห็นเด่นชัดขึ้นว่า คุณ เหมาะสมกันอย่างไร และช่วยจุดประกายไฟให้กับความโรแมนติกของคุณ

7. เล่นบทสไตลิสต์ ให้คนรักของคุณเลือกชุดสำหรับค่ำคืนให้กับคุณ และสวมใส่บนตัวคุณทีละชิ้น จากนั้น ก็ทำแบบ เดียวกันกับตัวเขา การแต่งกายให้กับคนรักในชุดที่คุณชอบที่สุด เป็นเรื่องเซ็กซี่และยั่วยวนใจ เช่นเดียวกับ การถอดเสื้อผ้าให้กันและกันในเวลาถัดมานั่นเอง

8. ปลอมตัว ควงคู่กันไปยังเลาจน์ในโรงแรมหรูๆสักแห่ง ซึ่งไม่มีใครรู้จักคุณ และปล่อยตำนานอันเหลือเชื่อไว้ ที่นั่น เริ่มบทสนทนากับคนที่นั่งใกล้ๆ ซึ่งดูท่าเป็นมิตร หรือไม่ก็กับบาร์เทนเดอร์ แล้วสาธยายเรื่องราวว่า คุณได้รู้จักกันในแบบที่น่าขันเพียงใด หรือเกี่ยวกับเวลาที่หายากเย็น กว่าจะได้นัดเจอและดื่มกัน เพราะคุณ ทั้งคู่เป็นกัปตันเรือสำราญ แน่นอนล่ะ มันไม่จริง แต่มันก็สนุกมาก และไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใครเลย

9. กินอาหารปลุกใจ ไม่ว่าคุณจะเลือกรับประทานอาหารปลุกใจในครัวของคุณ หรือที่ภัตตาคารโรแมนติก กฎมีอยู่ว่า คุณจะสั่งได้ก็แต่อาหารที่ช่วยสร้างความรุ้สึกวาบหวาม และเน้นไปที่การป้อนกันและกัน ด้วยอาหารที่กระ ตุ้นแรงขับทางเพศของคุณเหล่านี้ แล้วอะไรคือบรรดาอาหารที่เป็นเสมือนตัวแทนการโหมโรงล่ะ? ก็หอย นางรมดิบ แตงโม อะโวคาโด กุ้งมังกร เทมปุระ เชอร์เบ็ต ฟองดู และไอศครีมราดช็อคโกแลตกับวิปครีม ไงล่ะ

10. ประทับตราหนุ่มของคุณ ทิ้งรอยดูดสีแดงเอาไว้บนตัวเขาซึ่งจะทำให้หัวใจเขาเต้นระรัว การแสดงออกซึ่งความรักแบบนี้ แสนจะเป็นเด็กและน่าหัวเราะ จนคุณทั้งคู่จะคิกคักกันทุกครั้งที่ได้เห็น และเขาก็จะชอบการเป็นชายที่มี เครื่องหมายประจำตัวแบบนี้ด้วย

11. เล่นเกมคำถาม คุณจะทำอะไร ถ้ามีชีวิตอยู่ได้อีกสามเดือน? ต้องได้เงินเท่าไหร่ คุณถึงจะยอมโกนหัว? ถ้าอยู่ที่ ไหนก็ได้เป็นเวลาหนึ่งปี คุณจะเลือกที่ไหน? ลองหาคำถามต่างๆ ด้วยกัน ถึงแม้คุณจะรู้จักกันและกันดีอยู่ แล้ว แต่มันก็ยังมีเขตแดนใหม่ๆ ที่น่าประหลาดใจให้สำรวจอยู่เสมอ

12. พนันรักด้วยบทพิศวาส เล่นเกมเก็บคะแนน หรือพนันขันต่อกับไปเรื่องเล็กๆ น้อยๆ และสนับสนุนการแข่งขันฉันท์มิตร นั้น ด้วยรางวัลอันแสนเซ็กซี่ คู่รักทั้งหลายจำเป็นจะต้องสร้างภาวะจิตใจที่มีการแข่งขันกันบ้าง ความสงบ เงียบตลอดเวลามันน่าเบื่อ การพนันอันเร้าอารมณ์ สามารถส่งดีกรีความใคร่ของคุณให้ขึ้นติดอันดับได้

ที่มา : ผู้หญิงน่ะค่ะดอทคอม

ตุ๊ด – เกย์ ได้เฮ อาจไม่ต้อง เกณฑ์ทหาร

Sunday, July 12, 2009

ปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม. รับทราบร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่…) พ.ศ…. ออกตามความในพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) รับราชการทหาร พ.ศ. 2497 ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอมา โดยหลังจากนี้ให้ส่งร่างให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) ตรวจพิจารณาต่อไป สำหรับสาระสำคัญของร่างกฎกระทรวงดังกล่าวเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมสาระสำคัญ 2 ส่วนคือ 1. การกำหนดความพิการ ทุพพลภาพ หรือโรคที่ไม่สามารถจะรับราชการทหารได้ ให้เพิ่มโรค 8 ชนิด ได้แก่ ประสาทการเคลื่อนไหวลูกตาไม่ทำงาน, โรคเลือด หรืออวัยวะสร้างเลือดผิดปกติอย่างรุนแรงและอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต, โรคระบบหายใจ, โรคข้ออักเสบเรื้อรัง ข้อเสื่อมเรื้อรัง โรคข้อและกระดูกสันหลังเสื่อมเรื้อรัง, ภาวะไฮเปอร์, โรคจิตที่มีอาการรุนแรง/เรื้อรัง โรคอารมณ์แปรปรวนที่มีอาการรุนแรง/เรื้อรัง โรคพัฒนาการจิตเวช, ตับอักเสบเรื้อรัง และโรคผิวหนังลอกหลุดตัวผิดปกติแต่กำเนิด ชนิดเด็กดักแด้

นายอณิธานกล่าวต่อว่า 2.หลักเกณฑ์ความไม่สมบูรณ์ในร่างกายในการตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ารับราชการ ทหารกองประจำการ โดยให้ครอบคลุมถึงความผิดปกติในการรับรู้ หรือการยอมรับเพศทางร่างกายของตนด้วย อย่างไรก็ตาม สำนักเลขาธิการ ครม. ให้ความเห็นว่าร่างกฎกระทรวงที่กำหนดเรื่อง ความผิดปกติในการรับรู้ หรือการยอมรับเพศทางร่างกายของตนด้วย อาจเป็นการเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุความแตกต่างกันใน เรื่องเพศ สภาพร่างกาย หรือสุขภาพ อาจขัด หรือแย้งต่อมาตรา 30 ของรัฐธรรมนูญได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า หากกฎกระทรวงดังกล่าวมีผลใช้บังคับ ตุ๊ด หรือเกย์ จะได้รับการยกเว้นจากการเข้าเกณฑ์ทหารใช่หรือไม่ นายปณิธานกล่าวว่า เรื่องนี้ครม.ได้มอบหมายให้สคก.ไปทบทวนเพื่อให้เกิดความเหมาะสม โดยให้ให้คำนึงถึงหลักสิทธิและเสรีภาพของบุคคลด้วย แต่ก็เป็นไปได้ว่าเมื่อกฎกระทรวงดังกล่าวออกมา การดำเนินการใดๆ จะเป็นไปด้วยความยืดหยุ่นมากขึ้น และมีแนวโน้มว่าอาจได้รับการยกเว้น โดยสคก. จะเป็นผู้นิยามว่าความผิดปกติในการรับรู้ หรือการยอมรับเพศร่างกายหมายความคลอบคลุมถึงอะไร

ที่มา : มติชน

พฤติกรรมแย่ๆ ที่ไม่ควรทำกับเพื่อน

Saturday, July 11, 2009

ทราบหรือไม่ว่า พฤติกรรมอย่างไหนที่ไม่ควรทำกับเพื่อน ลองอ่านดูก่อนที่จะทำอะไรไม่ดีๆใส่เพื่อน พาลเอาเพื่อนโกรธล่ะแย่เลย

- ขัดขา : แกล้งขัดขาเพื่อนจนหกล้ม คะมำกลางห้องนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ แบบสุด ๆ

- ล้อชื่อคนที่เพื่อนแอบชอบ : บางที่การที่ใจหวั่นไหวไปแอบชอบใครสักคน เขาก้ออยากให้เป็นความลับ

- เอาเบอร์โทรเพื่อนให้ผู้ชายคนอื่น : การเอาเบอร์โทร.เพื่อนไปให้ผู้ชายคนอื่น ทำให้เพื่อนต้องหงุดหงิด จากการที่ได้รับโทรศัพท์จากใครก้อไม่รู้

- เอาสัตว์หรือสิ่งที่เพื่อนเกียจมาโยนใส่ : ถ้ารู้ว่าเพื่อนกลัวอะไร แต่ยังเอาสัตว์ชนิดนั้นมาโยนใส่ ขอบอกว่าเธอใจร้ายมาก

- นินทา : คนที่ชอบนินทา ใส่ร้ายป้ายสีเพื่อนให้คนอื่นเกลียด เพราะเธอแสดงความอ่อนแอ ในใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด แถมยังขี้อิจฉาอีกด้วย

- ล้อปมด้อย : แบบนี้เขาเรียกเพื่อนไม่แท้ เพราะเอาแต่เรื่องไม่ดีมาล้อเพื่อน เหมือนเป็นการตอกย้ำความไม่ดีในตัวเพื่อน

- มองด้วยหางตา : คนที่ชอบมองเพื่อนด้วยสายตากึ่ง ๆ ดูถูก เป็นคนที่แย่มาก ๆ เพราะในความจริง คนที่เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เขาต้องรักและให้เกียรติกัน

- พูดจาให้เพื่อนเสียหน้า : มีบางคนที่ชอบพูดจา หรือทำให้เพื่อน เสียหน้ากลางสาธารณชน คนที่ทำแบบนี้ได้ ขอบอกเลยว่าเธอจิตใจแย่เต็มที

ถ้าไม่อยากให้เพื่อนโกรธและคบกันได้นาน ๆ ก็อย่าทำพฤติกรรมเหล่านี้เลยนะจะบอกให้…

ที่มา : สนุกดอทคอม

ระวัง!! ทานวิตามินเกินขนาดอาจมีโทษ

Friday, July 10, 2009

การทานวิตามินมีประโยชน์ต่อร่ายกาย แต่ถ้าทานเยอะเกินไปอาจมีโทษต่อร่างกาย

วิตามินโดยทั่วไป หากทานมากเกินไป ไม่มีอันตราย ร่างกายจะขับออก แต่มีวิตามินบางชนิด หากได้รับมาก จะต้องได้รับสารอื่น เช่น หากได้วิตามิน C มากต้องได้แร่ทองแดง ดังนั้น ไม่ควรทานเกินกว่ากำหนด ตัวอย่าง วิตามิน A หากได้มากกว่า 25000 IU จะทำให้ปวดศรีษะ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ผิวแห้ง คันและผมร่วง หากได้มาก ตับม้ามจะโต ปวดกระดูก

ส่วนวิตามิน D หากได้มากเกิน 50000 IU จะทำให้เบื่ออาหาร คลื่นไส้ ท้องร่วง น้ำหนักลดและมีพิษต่อตับ และวิตามิน C โดยทั่วไปไม่มีพิษ แต่หากได้เกิน 1 กรัมจะทำให้เกิดคลื่นไส้ ท้องร่วง ตะคริวและเกิดนิ่วที่ไตธาตุเหล็ก หากได้รับขนาดสูง จะระคายกระเพาะและท้องผูก

รู้อย่างนี้แล้ว ควรทานวิตามินแค่พอประมาณจะดีกว่า เพื่อร่ายกายที่แข็งแรง

ที่มา : เดลินิวส์

เจาะลิ้น เจาะอวัยวะเพศ เจ็บแถมเสี่ยงตาย ระวัง!

Thursday, July 9, 2009

การเจาะผิวหนังสามารถทำได้ทั่วร่างกาย แต่อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ หากวิธีที่ทำไม่สะอาด ใช้เครื่องมือสกปรก รวมทั้งเจาะบริเวณที่ไม่เหมาะสม เช่น เจาะลิ้น เจาะอวัยวะเพศ ตามที่เป็นข่าวเกรียวกราวอยู่ในตอนนี้

- เจาะลิ้น เจาะหน้า

รศ.พญ.พรทิพย์ ภูวบัณฑิตสิน สาขาตจวิทยา (ผิวหนัง) ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การเจาะผิวหนังที่นิยม คือ บริเวณติ่งหู อาจเจาะมากกว่า 1 รู ตามความชอบของแต่ละบุคคล ในบางรายเจาะเป็นช่องขนาดใหญ่จนใส่ถ่านไฟฉายได้

- ส่วนบริเวณอื่น ๆ ที่มีการเจาะ เช่น

ใบหูด้านบนและติ่งหูด้านใน จะเจาะผ่านกระดูกอ่อนเป็นช่องขนาดใหญ่กว่าห่วงตุ้มหูเพื่อให้ทำความสะอาดง่าย แผลจะหายช้ามาก

- ปลีกจมูก นิยมเจาะบริเวณร่องจมูกซึ่งติดกับสันจมูก

ผนังกั้นช่องจมูกเหนือ ริมฝีปากบน เจาะระหว่างรอยต่อของกระดูกอ่อนของผนังกั้นช่องจมูกกับเนื้อของจมูกซึ่งหัก จากปลายจมูก ต่อกับร่องริมฝีปากบน เมื่อใส่ห่วงจะห้อยลง

- คิ้ว เจาะได้ตลอดแนวคิ้ว แต่นิยมเจาะปลายคิ้ว

- ริมฝีปาก เจาะบริเวณใดก็ได้ตลอดแนวริมฝีปาก โดยเจาะให้รูเจาะด้านหนึ่งอยู่นอกริมฝีปาก อาจใส่เป็นห่วงหรือตุ้มประดับ

- ง่ามนิ้ว มักเจาะง่ามนิ้วระหว่างหัวแม่มือและนิ้วชี้ เนื่องจากมือจะต้องใช้งานจึงทำให้แผลหายยาก

หัวนม พบว่า แผลบริเวณนี้จะหายช้า

- สะดือ นิยมใน ผู้หญิงในสมัยโบราณ ชาว อียิปต์นิยมการเจาะผิวหนังบริเวณสะดือเช่นกัน แผลจากการเจาะบริเวณสะดือจะหายช้ามาก

- ลิ้น เจาะบริเวณกลางลิ้น ห่างจากปลายลิ้น 1 นิ้ว เพื่อมิให้เจาะทะลุผ่านหลอดเลือด เครื่องประดับที่นิยมใส่เป็นลักษณะตุ้ม

การดูแลหลังเจาะจะเหมือนการเจาะ หู แต่แผลบริเวณหัวนมและสะดือจะหายช้ากว่า ส่วน การเจาะผิวหนังในช่องปาก จะมีเลือดออกมากโดยเฉพาะบริเวณลิ้นซึ่งมีหลอดเลือดขนาดใหญ่ ถ้าการเจาะทะลุผ่านหลอดเลือดอาจเสียเลือดมาก และ การติดเชื้อในช่องปากจะพบสูงกว่าการเจาะผิวหนังบริเวณอื่น

การเจาะลิ้นนอกจากมีปัญหาเลือด ออก ยังเกิดเลือดคั่งหลังเจาะ บางครั้งแผลจะบวม เจ็บปวดมากทำให้รับประทานอาหารไม่สะดวก น้ำลายออกมาก การดูแลแผลจะยุ่งยากและ เกิดการติดเชื้อสูง ส่วนปัญหาระยะยาว คือเครื่องประดับที่ใส่ลิ้นจะกระทบกับฟันทำให้ฟันสึกบิ่นหรือหัก บางรายอาจทำให้รากฟันตาย อีกทั้งการใส่ตุ้มประดับในช่องปากยังเป็นที่หมักหมมของเศษอาหารทำให้เกิดการ อักเสบ มีกลิ่นปาก พูดไม่ชัด เกิดปัญหาในการสื่อสาร

ด้าน นพ.ประวิตร พิศาลบุตร แพทย์โรคผิวหนัง กล่าวถึงการเจาะอวัยวะเพศว่า คนจิตใจปกติคงไม่มีใครเจาะ คนที่เจาะมักจะมีอาการป่วยทางจิต หรือติดยาเสพติด ทำให้ไม่มีวิจารณญาณ บางคนต้องการเรียกร้องความสนใจ ให้ตัวเองดูเด่น สิ่งที่อยากเตือน คือ การใช้เข็มเจาะร่วมกัน หากเข็มไม่สะอาดอาจได้รับ เชื้อไวรัสตับอักเสบ บี และซี ทำให้เกิดเป็นโรคมะเร็งตับ หรือ ติดเชื้อแบคทีเรียลามเข้าสู่กระแสเลือด เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต หรือติดโรคเอดส์ ที่สำคัญผู้ป่วยโรคลิ้นหัวใจรั่ว เป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว ไม่ควรเจาะไม่ว่าบริเวณใด เพราะอาจเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค และก่อให้เกิดอันตรายต่ออวัยวะซ้ำเติมโรคที่เป็นอยู่

น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า การเจาะอวัยวะเพศหญิงนอกจากจะเจ็บปวดและรำคาญแล้ว การเสียดสีบ่อย ๆ อาจทำให้เกิดการอักเสบได้ อีกทั้งบริเวณดังกล่าวมีความอับชื้น มีเส้นเลือดหล่อเลี้ยงมาก อาจก่อให้เกิดบาดแผล อักเสบ บวมแดง ติดเชื้อตามมา ซึ่งเชื้อโรคอาจลุกลามไปยังปีกมดลูก ท่อปัสสาวะ และไต หากมีการติดเชื้อไปในกระแสโลหิตอาจทำให้เสียชีวิตได้

ส่วนในผู้ชายนั้น น.ต.นพ.บุญเรือง บอกว่า ไม่ค่อยนิยมเจาะอวัยวะเพศ แต่จะเน้นฝังมุกฝังโลหะเหมือนลูกปืน และเย็บปลายองคชาตให้เกิดแผลขรุขระ โดยเชื่อว่าเวลามีเพศสัมพันธ์จะทำให้ผู้หญิงพอใจ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิด มักพบในกลุ่มผู้ใช้ยาเสพติด และวัยรุ่น ปัญหาที่พบมากในกลุ่มนี้ คือ เกิดแผลอักเสบติดเชื้อ ลามไปยังท่อปัสสาวะ ต่อมลูกหมาก ทำให้เกิดการอักเสบ บางรายองคชาตเน่า จนต้องตัดทิ้ง นอกจากนี้ อาจทำให้เกิดแผลในฝ่ายหญิง ที่ไปมีเพศสัมพันธ์ และแพร่โรคเอดส์ หรือไวรัสตับอักเสบบี.

ที่มา : เดลินิวส์

5 วิธีทำให้รักของคุณสดใส

Wednesday, July 8, 2009

เมื่อเกิดทะเลาะกับคู่รัก และอยากให้ความรักกลับมาเป็นเหมือนเดิม วันนี้เรามีกลเม็ดเคล็ดลับมาบอก….

อย่าแสดงท่าทีเมินเฉยเย็นชา เพราะทำให้โอกาสที่จะทำความเข้าใจกันต้องห่างเหินกันไปทั้งคู่ เพราะไม่ได้ช่วยให้เขาหรือเธอเข้าใจอะไรขึ้นมาได้จากการเมินเฉย ถ้าคุณยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้า ก็เขียนโน้ตสั้น ๆ ส่งถึงเขาหรือเธอว่า คุณเป็นห่วงและอยากจะคุยด้วย

พักรบก่อนนอน ทั้งคู่จะต้องตกลงกันก่อนว่า เมื่อใดก็ตามที่ทั้งคู่มีข้อโต้เถียงกันก่อนเข้านอนจะต้องหยุดข้อโต้เถียง นั้นเอาไว้ ไม่อย่างนั้นจะรู้สึกแย่ไปทั้งคืน และบอกกับเขาหรือเธอว่าพรุ่งนี้เราจะคุยเรื่องนี้กันต่อ พอตอนเช้าคุณตื่นขึ้นมาคุณก็แทบจะลืมเรื่องโต้เถียงเมื่อคืนกันไปแล้ว แต่ถ้าเรื่องโต้เถียงจากเมื่อคืนอาจจะยังไม่จบ วิธีการที่จะทำให้บรรยากาศตอนเช้าไม่รุนแรงด้วยการชงกาแฟหรือโอวัลตินสัก ถ้วยไว้ที่โต๊ะ กลิ่นกาแฟหรือโอวัลตินที่หอมกรุ่นจะทำให้เขาหรือเธอได้เห็นว่าคุณเป็นฝ่าย ง้อแล้ว

เอ่ยปากขอโทษ ไม่ใช่เรื่องของศักดิ์ศรี แต่เป็นเรื่องของการครองรักให้ยืนยาว เมื่อคุณเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอโทษก่อน รู้ไหมว่าผู้ฟังจะรู้สึกว่าตัวเขาเองก็มีส่วนทำให้เกิดการโต้เถียงด้วยจะทำ ให้เขาหรือเธอเลิกตั้งแง่กับคุณและเปิดใจกว้างรับฟังสิ่งที่คุณจะพูด วิธีนี้ยังเป็นการเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายขอโทษคุณโดยไม่เสียหน้า

ยอมรับคำขอโทษ คุณอาจจะบอกว่าได้ยินจนชินเสียแล้ว แต่เวลาคุณได้ยินคุณจะรู้สึกดีมิใช่หรือ เพราะเขาหรือเธอก็พร้อมที่จะปรับปรุงแก้ไขตนเอง เพื่อให้ต้นรักที่สองคนปลูกขึ้นมาเจริญเติบโตแผ่กิ่งก้าน

ช่วงเวลาที่มีความหมาย คำขอโทษช่วยคุณได้ แต่คุณควรทำอะไรสักอย่างที่แสดงออกถึงความรักด้วยการใช้เวลาออกไปเดินเล่น หรือทานอาหารเย็นนอกบ้าน ช่วงเวลาอย่างนี้จะทำให้ทั้งคู่ได้มองเห็นความรักที่ทั้งสองต้องช่วยกันหล่อ หลอมจนมีวันนี้ วันที่มีสองคนใช้ชีวิตร่วมกัน สุขทุกข์ด้วยกัน

ครั้งหน้าถ้าทะเลาะกับคู่รักเมื่อไหร่ ก็ลองนำกลเม็ดเคล็ดลับนี้ไปใช้ได้.

ที่มา : เดลินิวส์

ความรักของเรานั้นเป็น “รักแท้” หรือเปล่า??

Tuesday, July 7, 2009

อยากทราบหรือไม่ว่า ความรักของเรานั้นเป็นรักแท้หรือเปล่า ลองอ่านบทพิสูจน์รักแท้ดูครับ

1. ต้องมีความรู้สึกได้สัมผัสกับความสุขร่วมกับคนๆ นั้น เมื่ออยู่ด้วยกันก็จะมีความสุขมาก ไม่เคยเบื่อที่มีเขาอยู่ใกล้ ๆ และเมื่อยามที่เขาห่างไกล ไม่ได้เห็นหน้า ก็จะรู้สึกเหงา ๆ และคิดถึง

2. ต้องให้ความเคารพนับถือคน ๆ นั้น ถ้าจะรักใครสักคน ถ้าเราตั้งหน้าตั้งตาดูถูกและไม่เคย ให้ความเคารพในความเป็นเขา แล้วคนอื่น ๆ จะเคารพคน ๆ นั้นของเราได้อย่างไร และเราจะภูมิใจหรือ กับการที่ได้รักใคร่กับคนที่ใคร ๆ เขาดูถูก

3. ต้องรู้สึกว่าคน ๆ นั้นเป็นที่พึ่งได้ เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ขึ้นในชีวิต มั่นใจว่าเขาจะอยู่เคียงข้างเพื่อคอยช่วยเหลือ ไม่ใช่ว่าเรากำลังจะตกตึก ก็ไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยฉุด

4. ต้องเชื่อมั่นว่าถ้ามีปัญหาใด ๆ เกิดขึ้นไม่ว่าจะรุนแรงแค่ไหน สัมพันธภาพก็ยังคงดำเนินต่อไปเพราะคนเราย่อมผิดพลาดกันได้ ถ้ารู้จักอภัยกันมันก็อยู่กันทน

5. ต้องเข้าถึงความต้องการอารมณ์และความรู้สึกของคน ๆ นั้น อย่างถ้ารู้ว่าชอบจะอยู่คนเดียวตามลำพังบ้าง ก็ควรเปิดโอกาสได้อยู่กับตัวเองด้วยความเต็มใจ

6. ต้องมีความรู้สึกต้องตาต้องใจในสรีระของคน ๆ นั้น

7. ต้องรู้สึกว่าเราสามารถจะพูดคุยกับคน ๆ นั้นได้ทุกเรื่อง คุยอย่างเปิดอก สามารถที่จะขุดความรู้สึกส่วนลึกในหัวใจ ขึ้นมาพูดได้ ไม่ใช่ต้องปิดบังความรู้สึกส่วนนั้นไว้ เพราะกลัวว่าถ้าพูดออกมาแล้ว เราจะอับอายหรือไม่

ก็กลัวว่าเขาได้ยิน แล้วจะผงะหงายแล้วเดินหายไปจากชีวิต

8. ต้องรู้สึกว่าคน ๆ นั้นเป็นของมีค่าในมือ ถ้าไม่มีเขาสักคนชีวิตของเราก็สูญของมีค่าไป

9. ต้องรู้สึกเต็มใจที่มีส่วนร่วมกับคน ๆ นั้นในหลาย ๆ ด้าน ทั้งความคิดอารมณ์และเวลาแต่ไม่ใช่ร่วมกับเขาไปหมด จนเขาไม่เหลือความเป็นตัวของตัวเอง

10. ต้องรู้สึกอยากมีส่วนร่วมอยากรับฟังทุกอย่าง ไม่ว่าสิ่งนั้นมันเป็นสิ่งที่ดีหรือ เป็นสิ่งที่ทุกข์ ที่เรียกว่าร่วมทุกข์ร่วมสุข เพราะคนที่ต้องการแต่จะร่วมสุข นั่นหมายถึงว่าเป็นคนที่ไม่ได้มีรักแท้

ถ้าอยากรู้ว่าความรักของคุณที่มีอยู่ตอนนี้เป็นรักแท้โดยสมบูรณ์หรือไม่ ลองนำบทพิสูจน์นี้ไปพิสูจน์กันดูได้.

ที่มา : เดลินิวส์

ราศีกับน้ำหอม

Monday, July 6, 2009

เคยสงสัยไหมว่า น้ำหอมที่คุณใช้อยู่นั้น เข้ากับราศีของคุณหรือเปล่า ลองมาหาคำตอบกันเลยครับ

Aries ราศีเมษ (21 มี.ค. – 20 เม.ย)

คุณรู้ว่าตัวคุณ ต้องการอะไร และยังรู้ด้วยว่าคุณจะได้สิ่งนั้นมาด้วยวิธีไหน คุณจึงเป็นคนที่มีการตัดสินใจที่แน่วแน่เด็ดเดี่ยว สิ่งนี้เองทำให้คุณมี ลักษณะของผู้นำ อันเป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้คุณประสบความสำเร็จในชีวิต ข้อดีของคุณคือ เป็นคนหน้าซื่อมีความคิดอะไรอยู่ในใจ คุณจะแสดงออก ไปตามนั้น น้ำหอมที่เหมาะกับชาวราศีคุณ ควรเป็นน้ำหอมที่มีกลิ่นสะอาดและเบาบาง อย่างเช่น น้ำหอมกลิ่นอ่อน ๆ ซึ่งเป็นกลิ่นหอมของดอกไม้นานา พรรณผสมกับกลิ่นเย็น ๆ ของต้นไม้ประเภทสน ในตอนกลางวันคุณควรเลือกใช้ Cristalle ของ Chanel หรือ Lauren ของ Raiph Lauren ส่วนตอนกลางคืน ควรเลือกกลิ่นที่มีส่วนผสมของขิงและดอกมะลิ Ckone ของ Calvin Klein หรือ Amazone ของ Hermes

Taurus ราศีพฤษภ (21 เม.ย. – 19 พ.ค.)

คุณ เป็นคนช่างเอาอกเอาใจ และมักจริงใจกับผู้อื่นเสมอ จนบางครั้งทำให้คนอื่นเกิดความรำคาญ แต่คุณไม่เคยโกรธและให้อภัยเสมอ คุณเป็นนัก นิยมธรรมชาติตัวยง หากต้องนั่งทำงานในสำนักงานที่มืดทึบ หรืออยู่ในบ้านแคบ ๆ ที่เห็นแต่ข้างฝาคุณจะทนไม่ได้ ไม่น่าเชื่อเลยว่าในส่วนลึกแล้ว คุณเป็นคนที่เข้มแข็งและอดทนมาก คุณเป็นคนจมูกไวรับกลิ่นได้ หากเป็นกลิ่นที่คุณไม่ชอบ คุณจะไม่ชอบเอามาก ๆ ดังนั้น ควรเลือกน้ำหอมที่มี กลิ่นโบราณ เช่นกลิ่นของดอกกุหลาบผสมกลิ่นของพรรณไม้ใบเขียว สำหรับตอนกลางวันลองใช้ Tribu ของ Benetton, No Regrets ของ Alexandra de Mark off ส่วนตอนกลางคืนลองใช้ Magie Noir ของ Lancome และ White Musk ของ Jovan

Gemini ราศีเมถุน (20 พ.ค. – 21 มิ.ย.)

คุณ มีหัวการค้าหากตั้งใจจะทำอะไรล่ะก็ ต้องทำให้สำเร็จ แต่ข้อเสียของคุณคือ ชอบทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก และลุกลี้ลุกลนเกินไป คุณก็เป็นอีกคนที่อยู่ในราศีคู่ เช่นเดียวกับราศีปลา ตามปกติคุณเป็นคนที่จิตใจสงบ ไม่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น แต่เมื่อใดที่ถูกขัดคอขึ้นมา คุณจะฉุนกึกทันที คุณคือแชมเปี้ยนแห่งความเฟริทประจำจักรราศี ชอบทำตัวเป็นคนขึ้เล่น อ่อยเหยื่อไปทั่ว ถือซะว่าเผื่อฟลุ้กไง และเรื่อง ของกลิ่นหอมคุณเป็นคนช่างเลือก น้ำหอมที่น่าจะถูกใจเป็นกลิ่นแก่นจันทร์ ผสมกับกลิ่นของลาเวนเดอร์ ในตอนกลางวันควรเลือกใช้ Le Must de Cartier II, Elysium ของ Clarins ตอนกลางคืนเป็นกลิ่น Vanilla Musk ของ Coty, Escada หรือ Tuscany Per Conna ของ Estee Lauder

Cancer ราศีกรกฎ (22 มิ.ย. – 22 ก.ค.)

คุณ เป็นคนมีอารมณ์อ่อนไหว รักก็ง่ายโกรธก็ง่าย ดีใจหรือเสียใจก็ง่าย อันเป็นลักษณะเฉพาะของชาวราศีนี้ สิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นกับคุณ อย่างไม่เป็น ธรรม จะทำให้คุณรู้สึกปวดร้าวใจเป็นยิ่งนัก คุณต้องมีใครสักคนเป็นที่ปรึกษาปัญหาของคุณ ซึ่งจะขาดชะตาไม่ได้ ด้วยความที่คุณเป็นคนนุ่มนวล กริยามารยาทงดงาม ทำให้คนอื่นประเมินค่าคุณผิด คิดว่าคุณเป็นคนหัวอ่อน แล้วสักวันคนเหล่านั้นจะรู้สึก คุณยึดติดอยู่กับชีวิตครอบครัว และปฏิบัติ ตนตามระเบียบประเพณี หากคุณรักใครสักคน คุณต้องการให้คน ๆ นั้นแสดงความรักตอบเสมอ กลิ่นหอมที่เหมาะกับคุณ ควรเป็นกลิ่นที่ทำให้อารมณ์ ของคุณเบิกบาน อันได้แก่กลิ่นดอกกุหลาบหรือดอกพลับพลึง สำหรับตอนกลางวันควรเลือกใช้ Antonia’s Flowers, Fleur L’Interdit ของ Givenchy ตอนกลางคืนควรเป็นน้ำหอมที่มีกลิ่นฉุนของดอกไม้และน้ำผึ้ง True Love ของ Elizabeth Ardan และ Wings ของ Giorgio Beverly Hills

Leo ราศีสิงห์ (23 ก.ค. – 23 ส.ค.)

คุณ คือเจ้าป่าราชสีห์ สิ่งที่คุณชอบมาก คือความหรูหรา และชอบวางตัวโอ่อ่าภูมิฐาน จนบางครั้งทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่า คุณเป็นคนหลงตัวเอง อย่างไรก็ดีคุณเป็นคนที่เชื่อมั่นตัวเอง และภาคภูมิใจกับผลงานของคุณเสมอ การได้ปรากฎตัวตามสถานที่ต่าง ๆ เป็นส่งที่คุณชอบ เพราะคุณ เป็นคนตามใจเพื่อน ใครจะชวนไปไหนไม่เคยขัด แต่ถ้าคุณต้องวุ่นอยู่กับการทำผม และแต่งหน้ามากไปจะทำให้คุณเป็นบ้า เพราะบางครั้งคุณอยาก ปล่อยเนื้อปล่อยตัว ตามสบายบ้าง ดังนั้นน้ำหอมกลิ่นที่เหมาะกับคุณ ควรเป็นกลิ่นที่ติดทนนานเหมือนกลิ่นดอกไม้ ยามเมื่อต้องกับแสงตะวัน เป็นกลิ่นต้นไม้ใบหญ้าสด ผสมด้วยกลิ่นของผลไม้เปรี้ยว สำหรับตอนกลางวันควรเลือกใช้ Sunflowers ของ Elizabeth Arden, Anais ของ Cacharel และตอนกลางคืนควรเป็นกลิ่น Safari ของ Ralph Lauren และ Charlie Red ของ Revion

Virgo ราศีกันย์ (24 ส.ค. – 23 ก.ย.)

เป็น ราศีของสาวบริสุทธิ์ แต่ตัวคุณไม่บริสุทธิ์เหมือนราศีเกิด เพราะคุณมีความเซ็กซี่แอบแฝงอยู่เบื้องหลัง คุณจะยอมปล่อยใจให้เคลิบเคลิ้ม ไปกับหนุ่มสาวที่คุณเลือกแล้วเท่านั้น คุณเป็นคนหัวแข็งลองปักใจเชื่อเรื่องอะไรแล้ว จะไม่ยอมเปลี่ยนความคิดเด็ดขาด ยังดีนะที่คุณเลือกเชื่อแต่ ในเรื่อง ที่สมเหตุสมผลและเป็นเรื่องที่มีมูลของความจริง แม้ว่าเหตุผลที่ว่านั้น เป็นเหตุผลของคนอื่น ไม่ได้ออกมาจากสมองของคุณก็ตาม ชาวราศีนี้ มีสัญชาตญาณของความเป็นครู และคุณเป็นคนที่เอาจริงเอาจังมาก บางทีคุณเป็นคนเลือดร้อนเกินเหตุ เนื่องจากความสับสนกระวนกระวายใจนั่นเอง กลิ่นหอมที่เหมาะกับคุณควรเป็นกลิ่นเย็น ๆ ที่ไม่มีความหวือหวามาก สำหรับตอนกลางวันเลือกกลิ่นดอกไม้ ที่โชยมาตามสายลมอย่างกลิ่นของดอก ลิลลี่ หรือดอกไม้ของผลไม้รสเปรี้ยว Beautiful ของ Estee Lauder และ Tiffany ส่วนตอนกลางคืนเป็นกลิ่นของดอกไม้ผสม ที่มีความเข้มข้น Tresor ของ Lancome หรือ Diamonds and Sapphieres ของ Elizabeth Taylor

Libra ราศีตุลย์ (24 ก.ย. – 23 ต.ค.)

” เสน่ห์” คือจุดเด่นของชาวราศีนี้ คุณชอบทำเรื่องยากให้กลายเป็นเรื่องง่าย มีความคิดที่จะประนีประนอมยอมตาม และมักจะพูดในสิ่งถูกต้อง เพื่อทำให้คนอื่นสบายใจ เมื่อต้องเผชิญกับปัญหา ที่ต้องตัดสินใจในเรื่องใหญ่ ๆ คุณต้องไตร่ตรองถึงผลดีและผลเสีย ด้วยความยุติธรรม และนำมาประเมินผลอีกครั้ง เพื่อหาทางออกวิธีอื่น สิ่งนี้เองที่ทำให้คุณตัดสินใจล่าช้า ไม่รู้จะเอายังไงกันแน่ เพราะคุณชอบทำอะไรด้วยตัวเองไม่หวัง พึ่งใคร ความคิดที่เป็นขั้นตอนนี้เอง ทำให้คุณมีลักษณะบางอย่าง ที่ทำให้เพศตรงข้ามสนใจ กลิ่นหอมที่เหมาะกับชาวราศีนี้ ควรเป็นกลิ่นที่มีความอบอวล ของพรรณไม้จากดินแดนตะวันออก อันเป็นกลิ่นที่ใช้ได้ ตลอดทั้งวันทั้งคืน L’Air du Temps ของ Nina Ricci, Gio ของ Giorgio Armani, Aromatics Elixir ของ Clinique

Scorpio ราศีพิจิก (24 ต.ค. – 22 พ.ย.)

ชาว ราศีนี้เป็นคนที่เข้าใจยากที่สุดในจักรราศี เพราะคุณเป็นคนที่ชอบเก็บความลับไว้กับตัวเอง ไม่ชอบแพร่งพรายให้คนอื่นได้รู้และสิ่งต่าง ๆ ที่คุณเก็บ ไว้นี้จะกลายเป็นตำนานชีวิต คุณที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน คุณเป็นคนดื้อรั้นไม่ยอมเชื่อใครง่าย ๆ และเมื่อใดที่คุณติดใจต้องการทำอะไรขึ้นมาใคร ๆ ก็ฉุดคุณไว้ไม่อยู่ ชาวราศีนี้เป็นสัญลักษณ์ทางเพศแห่งจักรราศี เป็นคนมีอารมณ์รุนแรงในเรื่องของเซ็กซ์ แต่ก็เป็นคนช่างเลือกนะ ไม่ใช่ใจง่ายอย่าง ที่คิด ถ้าลองถูกใจขึ้นมาแล้ว ไม่ปล่อยให้หลุดมือไปง่าย ๆ ดังนั้น น้ำหอมที่มีกลิ่นหวาน ๆ ไม่เหมาะกับคุณเลย คุณควรเลือกกลิ่นที่ลึกลับ เป็นกลิ่นหอม มาจากแดนไกล และเป็นกลิ่นฉุนติดตัวไปทั้งวัน เป็นกลิ่นที่อบอวลของพรรณไม้ผสมด้วยกลิ่นชะมด และกลิ่นเปลือกไม้ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น เช่น Feminite du Bois ของ Shiseido, Fire & Ice ของ Revion

Sagittarius ราศีธนู (23 พ.ย. – 21 ธ.ค.)

คุณ เป็นคนที่รู้จักปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ ได้ทุกรูปแบบไม่ว่าคุณจะอยู่ใกล้ใคร คุณปรับตัวเข้ากับคนนั้นได้เสมอ เพราะคุณรู้จักวิธีผูกมิตร โดยเฉพาะกับเพื่อนต่างเพศคุณสันทัดมาก เพื่อนต่างเพศมักคิดว่าการได้อยู่ใกล้คุณ จะรู้สึกสดชื่นเหมือนยืนอยู่บนเนินเขา แต่บางครั้งคุณก็หมด ความอดทนเอาดื้อ ๆ และกลายเป็นคนพูดจาขวานผ่าซาก สิ่งที่คุณโปรดปรานมาก คือการออกไปเที่ยวนอกบ้าน เพราะคุณเป็นคนประเภทอยู่ไม่ติดบ้าน กลิ่นหอมที่เหมาะกับคุณ ควรเป็นกลิ่นที่โชยมาตามสายลม อันเป็นกลิ่นของดอกไม้สด ผสมกลิ่นของดอกไม้ สำหรับตอนกลางวันควรเลือกใช้ Escape ของ Calvin Klein หรือ Eau de Guerlain ตอนกลางคืนเลือกน้ำหอมที่มีกลิ่นเซ็กซี่เร้าอารมณ์ Tendre Poison ของ Christian Dior, Head OverHeels ของ Ultima II

Capricorn ราศีมังกร (22 ธ.ค. – 20 ม.ค.)

ชาว ราศีนี้จะได้อะไรมาแต่ละครั้ง ต้องใช้วิธีการที่แยบยลคลาสสิค คุณตั้งเป้าหมายของชีวิตไว้สูง และพยายามลุ้นให้ถึงเป้า ซึ่งใครก็รู้ว่าคุณมีแรง ผลักดันระดับไหน เมื่อคุณคิดที่จะทำการใด ๆ คุณทำด้วยความฉลาด และใช้ความสามารถสุดเหวี่ยง คุณไม่ชอบขยายเรื่องส่วนตัวของคุณ ให้คนอื่น ฟัง ดูเผิน ๆ คุณเป็นคนเงียบ ๆ ติ๋ม ๆ ในเรื่องเพศ แต่แท้จริงแล้ว คุณจะเป็นผู้เผด็จสวาทเพศตรงข้าม และถ้าคุณชอบน้ำหอมกลิ่นใด คุณจะใช้ น้ำหอมกลิ่นนั้นไปตลอด ไม่ยอมเปลี่ยน ดังนั้น น้ำหอมที่คุณควรเลือก ต้องเป็นกลิ่นพิเศษไม่ธรรมดา สำหรับตอนกลางวันควรเลือกใช้ Shalimar ของ Guerlain, Donna Karan New York ส่วนตอนกลางคืนเป็นกลิ่น Comme des Garcons และ Paloma Picasso

Aquarius ราศีกุมภ์ (21 ม.ค. – 20 ก.พ.)

คุณ เป็นคนที่เข้ากับคนง่าย และเข้ากับคนได้ทุกชั้นวรรณะ แต่คุณเลือกเพื่อนดี ๆ ไว้คบค้ากันตลอดชีวิตเพียงไม่กี่คน บางครั้งคุณทำอะไรเหมือนคน ไม่เต็ม ๆ เพราะคุณยึดแนวคิดและอุดมการณ์มากไป และพยายามเอาอุดมการณ์ของคุณมาใช้กับคนอื่น เพศตรงข้ามมักคิดว่า คุณเป็นคนน่าคบและ เป็นคนน่าทึ่ง เมื่อใดที่คุณอยากทดลองทำอะไรแล้ว คุณต้องทำให้ได้ น้ำหอมที่เหมาะกับคุณ สำหรับตอบกลางวันคือ Jean Paul Gaultier Nectar ของ Goodebodies สำหรับตอนกลางคืน ควรเป็นกลิ่นของกำยาน จากแดนตะวันออก Longing ของ Coty Far Away ของ Avon

Pisces ราศีมีน (21 ก.พ. – 20 มี.ค.)

ราศี สุดท้ายในจักรราศีเป็นรูปปลาคู่ คุณเป็นคนท่าทางไร้เดียงสา และน่าเชื่อถือ รูปปลาคู่เป็นสัญลักษณ์ของคนที่มีสองลักษณะในตัวคน ๆ เดียว คือ คุณเป็ฯคนคล่องงาน และเป็นคนมีจินตนาการ ซึ่งมักทำให้คนอื่นเข้าใจว่า คุณเป็นคนบอบบาง และเป็นคนอ่อนไหว คุณเป็นคนรักและหวงแหนข้าวของ และสมบัติของคุณ โดยเฉพาะเมื่อใดที่คุณตกหลุมรัก คุณจะยอมทำทุกอย่าง เพื่อให้ความรักของคุณเป็นอมตะนิรันดร์กาล กลิ่นหอมที่เหมาะกับคุณ ควรเป็นกลิ่นเบาบางของดอกไม้เล็ก ๆ กระจุ๋มกระจิ๋ม สำหรับตอนกลางวันควรเลือกใช้ Femina ของ Albert Ferretti ส่วนตอนกลางคืนเป็น กลิ่นหอมที่เซ็กซี่ Oscar ของ Oscar de la Renta, Sublime ของ Jean Patou หรือ Champagne ของ Yves Saint Laurent

ที่มา : สนุกดอทคอม

จุดจีสปอตของผู้ชาย อยู่ตรงใหน?

Sunday, July 5, 2009

จริงหรือไม่ว่าจุดจีสปอตของผู้ชาย อยู่ทางทวารหนัก มาหาคำตอบจาก ผศ.นพ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ กันดีกว่าครับตอบ : เป็นความจริงดังที่คุณทราบ มาว่า ผู้ชายก็มีจีสปอต เหมือนกันเช่นเดียวกับผู้หญิง จีสปอตของผู้หญิงจะอยู่ภายในผนังช่องคลอดใต้กระเพาะปัสสาวะ แต่สำหรับ ผู้ชายแล้วจุดดัง กล่าวจะอยู่บริเวณที่เป็นต่อมลูกหมาก ซึ่งสามารถจะสัมผัสและกระตุ้นได้จาการโดนจุดดังกล่าวผ่านทางทวารหนักเข้าไป

ผู้ชายหลายต่อหลายคนที่โดนร่วมรักทางทวารหนักจากผู้ชายอีกคนเลยติดอก ติดใจเลิกร่วมรักกับภรรยาหรือแฟนสาวไปก็มาก เพราะจุดสุดยอดจากการโดนกระทำทางทวารหนักแล้วจีสปอตโดนเสียดสีนั้น หลายต่อหลายคนบอกว่าสุดยอดกว่าการหลั่งออกมาเมื่อถึงไคลแม็กซ์ในช่องร่วมรัก ของผู้หญิงเสียอีก

ผู้หญิงจึงต้องหา เทคนิคมาทำให้ผู้ชายของเธอติดอกติดใจในการร่วมรักกับเธอตามมาตรฐานก่อนที่จะ เสียเขาไปให้ผู้ชายอีกคนหนึ่งโดยการหาวิธีการกระตุ้นจีสปอตของเขาในระหว่าง ที่ร่วมรักกับเธอ และท่าร่วมรักที่สามารถทำได้ดีก็คือท่าร่วมรักมาตรฐานที่เรียกว่ามิชชันนารี นั่นแหละ

ให้ผู้หญิงคู่ของคุณตัดเล็บให้สั้น ซื้อถุงมือยางมาให้เธอสวม จัดการหล่อลื่นด้วยเจลหล่อลื่นสูตรน้ำให้ดี จะเลือกชนิด warm gel หรือ cool gel ก็ตามสบาย สอดนิ้วชี้หรือนิ้วกลางของมือที่ถนัดเข้าไปในทวารหนักของชายหนุ่มในขณะที่ เขาใกล้จะถึงจุดสุดยอด แล้วเคลื่อนเข้า-ออก ให้ได้จังหวะในขณะที่เขาสอดอวัยวะเขาเข้า-ออกในของเธอ

แบบนี้จุดสุดยอดของเขาก็จะเป็นจุด สุดยอดในจุดสุดยอดและให้ความประทับใจไป เนิ่นนานประเภท once in a lifetime ที่จะซาบซึ้งตรึงตา ตรึงใจไปตลอดกาล

ที่มา : สนุกดอทคอม

เคล็ดลับเลือกน้ำหอมให้ได้กลิ่นถูกใจ

Saturday, July 4, 2009

ถ้าคุณอยาก จะซื้อน้ำหอมกลิ่นใหม่ แต่มักจะปวดหัวกับกลิ่นหอมหลายๆ กลิ่นที่ผสมปนเปอยู่ตรงเคาน์เตอร์น้ำหอม ก็ลองใช้เคล็ดลับในการเลือกน้ำหอมของเรานี้

1. ให้พนักงานขายฉีดน้ำหอมใส่ข้อมือคุณ แล้วกลับไปดมที่บ้าน นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ทำให้คุณรู้ได้อย่างแน่นอนว่าน้ำหอมขวดนั้นจะมี กลิ่นเช่นไรเวลาที่อยู่บนผิวของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังฉีดไปแล้วสองสามชั่วโมง

2. ถ้าอยากจะได้น้ำหอมติดมือกลับบ้านในวันที่ไปช้อปปิ้งนั้นเลย ก็ลองฉีดน้ำหอมแล้วเดินออกมาดมดูข้างนอก หรืออย่างน้อยก็เดินออกมาให้ไกลจากเคาน์เตอร์น้ำหอมนั้นหน่อย หรือถ้าให้ดีก็เดินดูนั่นดูนี่ซักหนึ่งชั่วโมง เพื่อจะได้รู้อย่างแน่ชัดว่าเมื่อคุณเหงื่อออกแล้วน้ำหอมขวดนั้นจะมีกลิ่น ยังไง

3. ถ้าคุณรู้ตัวว่าจะต้องดมน้ำหอมหลายกลิ่นกว่าจะเจอที่ถูกใจ ก็อย่าลืมเอาเมล็ดกาแฟใส่ถุงพลาสติกติดกระเป๋าไปด้วย เพราะการดมเมล็ดกาแฟในระหว่างลองกลิ่นน้ำหอม ก็จะช่วยให้กลิ่นน้ำหอมแต่ละกลิ่น ไม่ติดจมูกคุณจนก่อให้เกิดความสับสน

ที่มา : Lisa

เคล็ดลับปากสะอาดเพื่อการจูบ

Friday, July 3, 2009

ต่อไปนี้คือเคล็ดลับปากสะอาดอันนำไปสู่การจูบอย่างมีรสชาติ ซึ่งรวบรวมจากผู้เจนจัด และมีประสบการณ์จากหลายสำนัก

1. เวลาแปรงฟันอย่าลืมแปรงลิ้นกับเพดานปาก ด้วย ซึ่งอวัยวะสองส่วนนี้เป็นแหล่งสะสมจุลินทรีย์อันก่อให้เกิดกลิ่นปาก จึงต้องทำความสะอาดอยู่เสมอ การแปรงสองส่วนนี้จะช่วยให้ลมปากสดชื่นยาวนานกว่าปกติ

2. ไปไหนมาไหนควรพกน้ำยาบ้วนปากขวดเล็กๆไว้ในกระเป๋าถือ สามารถหยิบมาใช้เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานได้

3. ทุกครั้งที่ออกจากบ้านอย่าลืมพกลูกอมรสมิ้นต์ไปด้วย

4. วางกล่องลูกอมรสมิ้นต์ไว้ข้างเตียงเสมอ เพื่อเวลาตื่นเช้าจะได้อมให้ปากสดชื่นก่อนจะจูจุ๊บกันตอนเช้าๆ

5. หากเขากินอาหารที่มีกลิ่นแรงจำพวกกระเทียมหรือหัวหอม เราก็ต้องกินด้วย กลิ่นปากจะได้พอฟัดพอเหวี่ยงกัน เวลาจูบจะได้ไม่รู้สึกว่าอีกฝ่ายกลิ่นแรงจนรับไม่ได้

6. ถ้ารู้สึกว่าอีกฝ่ายมีกลิ่นปากที่ไม่ค่อยโสภาเท่าไร เราควรหยิบลูกอมขึ้นมาอบพร้อมกับเสนอให้เขาด้วย

7. เวลาทานอาหารควรยกผ้าเช็ดปากแตะมุมปากทุกคำที่เคี้ยว ไม่ว่าจะมีเศษอาหารติดอยู่หรือไม่ เป็นการป้องกันเอาไว้ก่อน

8. หากไปทานอาหารตามร้าน ก่อนกลับควรขอตัวเข้าห้องน้ำเพื่อสำรวจความเรียบร้อย ถ้าเป็นที่บ้าน เราควรเตรียมอุปกรณ์ทำความสะอาดปาก เช่น น้ำยาบ้วนปาก หรือไหมขัดฟันวางไว้ในห้องน้ำ เพื่อที่เขาจะได้หยิบใช้ได้ทันที โดยไม่ต้องเที่ยวรื้อค้นตามลิ้นชักของเราให้กระจุยกระจาย

ที่มา : สนุกดอทคอม

ฟิตก้นสวยด้วย 3 ขั้นตอน

Thursday, July 2, 2009

วิธีง่ายๆ ในการเพิ่มความกระชับให้กับบั้นท้าย ในระหว่างการใช้ชีวิตปกติของคุณในแต่ละวัน

1. ให้ตั้งลำตัวตรงด้วยเข่าทั้งสองข้าง วางแขนสองข้างปล่อยสบายอยู่ข้างลำตัว ปลายนิ้วแตะไว้ที่ต้นขา

2. หายใจเข้าให้ลึก ค่อยๆ เอนตัวไปด้านหลัง ให้รักษาตำแหน่งของหลัง ลำตัวและต้นขาทั้งสองข้างให้เหยียดเป็นแนวเส้นตรง พยายามเกร็งกล้ามเนื้อตั้งแต่ช่วงต้นขาไปจนถึงกล้ามเนื้อก้นให้ตึงเท่าที่จะ ทำได้ ยิ่งสามารถทำ ให้ตึงมากเท่าไหร่ก็จะทำให้เอนลำตัวไปด้านหลังได้มากยิ่งขึ้นตามที่ต้องการ

3. หยุดค้างไว้ 5 – 10 วินาที แล้วปล่อยลมหายใจออกและเอนตัวขึ้นมาเพื่อยิ่งขึ้นกลับไปสู่ท่าเริ่มต้น เริ่มจากวันละ 5 ครั้งในสัปดาห์แรก แล้วเพิ่มเป็นวันละ 10 ครั้งในสัปดาห์ที่ 2 และ 3 หลังจากนั้นค่อยเพิ่มเป็นวันละ 15 ครั้ง ในสัปดาห์ที่ 4 และ 5 ก็จะทำสามารถสังเกตเห็นได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของบั้นท้ายที่จะกระชับ

ที่มา : กะปุกดอทคอม

5 เรื่องประตูหลังที่คุณควรรู้

Wednesday, July 1, 2009

1. จี-สปอตของผู้ชายอยู่เหนือช่องทวารขึ้นไป

มันจะอยู่เหนือขึ้นไป 5 ซม. บนผนังด้านในของช่องทวาร หรือที่เป็นต่อมลูกหมากนั่นเอง นอกจากนั้นยังถูกกระตุ้นได้ด้วยการนวดคลึงเส้นสองสลึง ซึ่งส่งผ่านความซาบซ่าน แต่การนวดมันโดยตรงอาจเพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากได้

2. รักทางประตูหลังไม่จำเป็นต้องล่วงล้ำ

ยังมีคนอีกเยอะที่ชอบถูกกระตุ้นทางประตูหลังโดยไม่มีการเกินเลยไปกว่า นั้น โดยเฉพาะพวกผู้ชายแท้ ซึ่งเชื่อว่าการสอดใส่ทางนี้หมายถึงเป็นพวกชอบบริโภคถั่วดำ (ซึ่งไม่จริงเลย) เรากระตุ้นเร้าประตูหลังอย่างเปิดเผยได้หลายอย่าง เช่น ปลายนิ้ว เซ็กซ์ทอย น้ำพุ่งจากหัวฝักบัว หรือลิ้น…

3. ใครๆ ก็ทำ

ในอีกหลายวัฒนธรรม ที่ยังถือว่าพรหมจรรย์เป็นสิ่งสำคัญหรือหาซื้ออุปกรณ์คุมกำเนิดยาก หรือขัดต่อศาสนา การมีอะไรกันทางประตูหลัง (ที่ไม่ใช่รักร่วมเพศ)ในฐานะที่เป็นวิธีหลีกเลี่ยงการตั้งครรภ์และรักษาความ บริสุทธิ์ไว้จนถึงวันวิวาห์

4. สิ่งของอาจหลุดเข้าไปข้างในได้

กล้ามเนื้อส่วนนี้เป็นกล้ามเนื้อที่ยืดหดได้ มันอาจดูดสิ่งของแปลกปลอมเข้าไปข้างในลึกจนเอาออกยาก หรืออาจต้องถึงมือหมอให้ได้อับอาย เซ็กซ์ทอยที่ไว้ใช้กับช่องทางนี้จะมีด้ามจับเอาไว้ป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ กระอักกระอ่วนเช่นนี้เกิดขึ้น สามสิ่งที่ควรระวังคือ แปรงสีฟัน ลิปสติก และปากกา เพราะเคยมีกรณีสามอย่างนี้ถึงมือหมอมาแล้ว

5. ไม่เจ็บอย่างที่คิด

ยกเว้นกรณีที่ทำไม่ถูกวิธีย่อมเจ็บแน่นอน ตามปกติกล้ามเนื้อส่วนนี้มักจะหดตัวเมื่อเจอสิ่งแปลกปลอม ควรรอให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายเสียก่อนแล้วค่อยดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป ที่สำคัญคือใช้สารหล่อลื่นเยอะๆ เพราะอวัยวะส่วนนี้ผลิตสารหล่อลื่นตามธรรมชาติอย่างน้องหนูไม่ได้ ดังนั้นย่อมต้องการตัวช่วยให้สถานการณ์ลื่นไหล ความเชื่อว่าเล่นรักทางนี้เจ็บมาจากคนที่ไม่ใช้สารหล่อลื่นช่วยกรุยทางนี่ละ

ที่มา : สนุกดอทคอม