A Blogger by Beamcool

Anal Sex เซกซ์ประตูหลัง

Monday, August 31, 2009

อะนัลเซ็กซ์หรือเซ็กซ์ประตูหลัง ที่ผู้ชายธรรมดาก็เริ่มรู้จักกันมากขึ้น มันก็เป็นอะไรบางอย่างที่ผู้ชายอยากรู้แม้ยังไม่เคยลอง

อะนัลเซ็กซ์ หรือเซ็กซ์ทางรูทวาร ฟังแล้วชวนสะดุ้ง แต่เชื่อไหมว่าผู้ชายที่เคยได้ลองแล้ว มักเกิดอาการติดใจ เนื่องจากมันให้ความรู้สึกไม่เหมือนการร่วมแบบปกติ จากการทำเซ็กซ์ เซอร์เวย์ จากการสัมภาษณ์ หญิงชายชาวอเมริกัน 3423 คน พบว่า ผู้ชายราวหนึ่งในสี่ เคยลองมาแล้ว!! ส่วนผู้หญิงราวหนึ่งในห้าก็เคยลองมาแล้วเช่นกัน บางคนยังติดทำเป็นนิสัยถือเป็นเรื่องปกติ แม้จะเป็นเรื่องใหม่สักหน่อยในบ้านเรา แต่ก็เชื่อว่า หญิงชายบ้านเราประสบการณ์ด้านนี้คงมีไม่น้อยกว่า แม้จะไม่เป็นที่เปิดเผยหรือยอมรับกันในวงกว้างเหมือนการทำออรัล

ถ้าคุณคือผู้หนึ่งที่อยากลองหาประสบการณ์ให้กับตัวเองสักครั้ง ต่อไปนี้คือสิ่งที่คุณควรรู้

การ ติดเชื้อ โดยเฉพาะเชื้อเอชไอวีซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคเอดส์นั้น ติดต่อกันได้ง่ายมากจากการร่วมรักทางทวาร จึงต้องมั่นใจที่สุดว่าคู่ร่วมของคุณนั้นปลอดเอดส์ 100%
ใช้ ถุงยางอนามัยทุกครั้ง เพื่อป้องกันการติดเชื้อทุกชนิด ถ้าไม่ใช้ อย่าลืมว่าโอกาสที่น้องชายจะสัมผัสกับอุจจาระที่ยังหลงเหลือก็มีมาก เชื้อโรค เชื้อแบคทีเรีย อาจเกาะติด เป็นอันตรายต่อน้องชาย
ใช้ เจลหล่อลื่นให้มาก เพราะรูทวารไม่ผลิตสารหล่อลื่น จึงบีบรัดและไม่ยืดหยุ่นมาก ไม่ทนทานต่อการสอดใส่แรงๆ จึงต้องหล่อลื่นให้มากเพื่อลดความฝืด และทำผนังลำไส้ฉีกขาด

มาถึง ตรงนี้แล้ว ก็ไม่มีเทคนิคเด็ดๆอะไรอีกแล้วนอกจาก ขอให้ทำด้วยความสุขุม ช้าๆและอย่าเร่งร้อน

หากคุณกำลังอยากเลิกบุหรี่

Sunday, August 30, 2009

ตัดสินใจเลิกบุหรี่
สิ่ง แรกที่คุณคิดก็คือ "ทำไมต้องเลิก(วะ)?" เหตุผลก็คือ คุณยังมีชีวิตของตัวเองที่ยังต้องคิดถึงอยู่ การเลิกบุหรี่จะช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งทั้งปวง และยังเป็นที่รู้ๆกันดีว่าคนที่เลิกสูบบุหรี่ไปแล้วจะมีสุขภาพที่ดีกว่าคน ที่กำลังสูบอยู่ ที่สำคัญควัญบุหรี่จะไม่ไปกระทบกระเทือนคนที่คุณรักให้เขารำคาญและป่วยเป็น มะเร็งแน่นอน

อะไรอีกน่ะเหรอ....กลิ่นปากของคุณไงล่ะ อาจจะไม่มีใครบอกคุณก็ได้ แต่ขอให้รู้ว่ากลิ่นปากคนสูบบุหรี่มันเหม็นมากๆ ยังมีเรื่องเงินอีกนะ คิดดูสิว่าเสียเงินไปกับซองบุหรี่เท่าไรแล้ว แล้วในแต่ละปีหมดไปเท่าไร เก็บเงินไว้พาแฟนไปเที่ยวไม่ดีกว่าหรือคะคุณ สำคัญที่สุดในการเลิกบุหรี่ก็คือคุณพร้อมที่จะเลิกแล้วแน่นอน อย่าเลิกเพียงเพราะคนอื่นบอกให้เลิกหรือด้วยเหตุผลอะไรก็ตามที่แม้แต่คุณเอง ก็ไม่ใส่ใจ คิดเสียว่าทำเพื่อตัวเอง เวิร์คสุด!!!

วางแผนการณ์เลิกบุหรี่
เมื่อ คิดได้แล้วถึงโทษ และคิดถึงตัวเองเพียงพอแล้ว ก็เริ่มวางแผนโดยคิดเอาไว้เลยว่าจะเริ่มวันไหน ตั้งใจให้แน่วแน่ อย่าคิดว่าวันละมวนแล้วค่อยลดลงก็ได้มันไม่ได้ผลหรอก เชื่อสิ

เขียนสัญญา
แม้ ว่าไม่ใช่ตามกฎหมาย แต่การได้เขียนสัญญาจะช่วยคุณได้มากทีเดียว ไม่ว่าจะเขียนกับเพื่อน กับครอบครัว และอย่าลืมบอกกับทุกคนรอบข้างว่าคุณกำลังเลิกบุหรี่อยู่ จงภูมิใจในสิ่งที่กำลังทำ หรือจะทำป้าย "ห้ามสูบบุหรี่" ติดให้ทั่วบริเวณบ้าน ในห้องนั่งเล่น ห้องน้ำ ห้องครัว หรือแม้แต่ในรถ

ขอความช่วยเหลือ

จาก เพื่อนที่เขาเองก็อยากจะเลิกบุหรี่เช่นกัน การได้พูดคุยกับคนที่ทำในสิ่งเดียวกันจะเรียกกำลังใจได้เยอะเลยทีเดียว พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนแนวคิดและวิธีการที่คิดว่าจะได้ผลแก่กัน โอ้ย..แมนสุดๆ

จัดการกับสิ่งที่ทำให้อยาก

ทิ้ง มันไปให้หมดกับซองบุหรี่ มวนบุหรี่ โยนมันทิ้งไป รวมทั้ง ที่เขี่ยบุหรี่ ไฟแช็ค หรือทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณคิดว่ามันเกี่ยวกัน แม้กระทั่งกาแฟ ถ้าคุณคิดว่าถ้าดื่มกาแฟเมื่อไรก็อยากเมื่อนั้น ลดกาแฟลงไปบ้างคงไม่เป็นไรกระมัง ความอดทนเพื่อตนเองและคนที่คุณรัก

ชดเชยความยาก

การ สูบบุหรี่เป็นนิสัยอย่างนึง ในบางครั้งคุณสูบบุหรี่เพราะประหม่าหรือเพื่อให้คุณมุ่งอยู่กับสิ่งใดสิ่ง หนึ่ง คุณอาจจะชดเชยโยการกินผัก เคี้ยวหมากฝรั่งหรืออมลูกอม ถ้ารู้สึกอยากมากๆให้ดื่มน้ำแก้วใหญ่ๆให้ความอยากมันหายไป และหายใจลึกๆ เพียงเพื่อทำอะไรก็ได้ที่จะได้ไม่ต้องคิดถึงมันแม้เพียงชั่ววินาที

เปลี่ยนวิถีชีวิต
การ เลิกสูบบุหรี่ถือว่าเป็นการเริ่มต้นใหม่สำหรับคุณและคุณควรจะเปลี่ยนกิจวัตร บางอย่างไปเลย หากคุณมักจะสูบบุหรี่หลังจากดื่มกาแฟในตอนเช้า เปลี่ยนมาเป็นดื่มน้ำส้มหรือทานซีเรียลแทนสิ ถ้าคุณคุ้นเคยกับการสูบบุหรี่พร้อมกับเพื่อนๆระหว่างช่วงพักก็ออกไปพักกับ เพื่อนที่เขาไม่สูบบุหรี่หรือไปอยู่ในโซนห้ามสูบบุหรี่ เปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่มีสุขภาพดี


หลีกเลี่ยง

ไม่ ต้องถึงขั้นตัดขาดกับเพื่อนที่สูบบุหรี่หรอกน่า แต่ให้คุณหลีกเลี่ยงที่จะต้องไปในสถานที่บางประเภทกับเพื่อนๆกลุ่มนี้ เช่น บาร์ ไนท์คลับ เปลี่ยนไปนั่งที่นั่งสำหรับคนไม่สูบบุหรี่ในร้านอาหาร คุณจำเป็นต้องทำเช่นนี้โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้น

ใช้ตัวช่วย

การ พูดมันง่ายกว่าการกระทำ ดังนั้นจึงได้มีตัวช่วยสำหรับผู้ต้องการเลิกบุหรี่อย่างจริงจัง เช่นหมากฝรั่งนิโคติน เพื่อให้ปากไม่ว่างไปอยากบุหรี่และยังเพื่อช่วยลดปริมาณนิโคตินในร่างกายคุณ ด้วย

ความมุ่งมั่น
เลิกบุหรี่ในช่วงแรกจะยากมาก ฉะนั่นความมุ่งมั่นเท่านั้นจะทำให้คุณผ่านพ้นมันไปได้ มันไม่ใช่ประเดี๋ยวประด๋าวนะ มันเป็นการเลิกแบบมาราธอนและคุณก็ต้องต่อสู้กับความคิดตัวเองเสียด้วย และมันจะง่ายขึ้นทุกวันๆ

ให้รางวัลกับตัวเอง

การ เลิกบุหรี่ถือเป็นก้าวสำคัญของชีวิตคุณดังนั้นคุณก็ควรให้รางวัลตัวเองได้ เช่นกับความสำเร็จอื่นๆ ด้วยเงินที่คุณเคยใช้ซื้อบุหรี่นี่แหละ เงินที่ได้มาอาจจะซื้อทีวีพลาสม่าได้เชียวนะ หรือสามารถใช้เงินนี่ไปเที่ยวทะเลได้เลย แล้วคุณจะเห็นว่าบุหรี่เป็นตัวการทำให้คุณกระเป๋าแห้งได้เช่นกัน

บทความแปลโดย Blueberry Heart

ปากเหม็น...ทำไงดี!!!

Saturday, August 29, 2009

คงไม่มีใครคน ไหนชอบหรอกนะ หากคุณเข้ามาคุยพร้อมกลิ่นปากที่แสนจะสุดทน โดยเฉพาะกับแฟนสาวหรือสาวคนใหม่ที่คุณกำลังจีบอยู่ คุณสังเกตเธอหรือเปล่าว่าเธอหันหน้าหนีคุณอยู่บ่อยๆขณะที่คุณพูดหรือเปล่า คุณอาจจะคิดว่าเป็นเพราะกลิ่นน้ำหอมของคุณที่เธอไม่ชอบหรือไม่ว่าจะกับใคร เขามักจะเบือนหน้าหนีคุณเสมอไม่เว้นแต่คนในครอบครัวของคุณ

นานแค่ไหน แล้วที่คุณไม่ได้เชคกลิ่นลมหายใจของคุณเลย บางคนถึงกับรู้สึกแย่กับกลิ่นปากของตัวเอง คราวนี้แหละที่คุณจะได้มีโอกาสกำจัดมันสักที และหลังจากนี้คุณจะไม่ใช่คนที่คนอื่นเบือนหน้าหนีอีกแล้ว

วิธีทำให้ลมหายใจสดชื่นอยู่เสมอ

พบหมอฟัน
ถ้า ตอนนี้คุณกำลังมีกลิ่นปากล่ะก็ ไปหาหมอฟันเถอะค่ะ เพื่อที่คุณหมอจะได้หาสาเหตุของการเกิดกลิ่นปากให้คุณได้ กลิ่นปากมีสาเหตุหลักๆมาจากเชื้อแบคทีเรียในปาก ดังนั้นการไปพบหมอฟันเป็นประจำปีละสองหนเพื่อทำความสะอาดช่องปากและเชค สุขภาพปากของคุณเพื่อกลิ่นปากที่สดชื่น

แปรงฟัน

ยิ่ง คุณแปรงฟันความสะอาดในช่องปากของคุณก็จะยิ่งดีรวมไปถึงกลิ่นปากด้วย แปรงฟันอย่างน้อยสองครั้งต่อวัน (ก่อนนอนและในตอนเช้า) เพื่อขจัดเศษอาหารที่อาจจะติดอยู่ในซอกฟัน หรือคุณอาจจะติดแปรงสีฟันและยาสีฟันไว้ที่ทำงานของคุณด้วยก็ได้ เผื่อว่ามื้อเที่ยงคุณอาหารที่มีกลิ่นรุนแรงจำพวกกระเทียมหรืออะไรก็ตามที่ จะมีกลิ่นตามมา

แปรงลิ้น

ฟังดูแปลกๆใช่มั้ยล่ะ คะแต่คุณอาจจะไม่เชื่อก็ได้ว่ามีแบคทีเรียและสิ่งสกปรกต่างๆบนลิ้นของคุณมาก มายสักแค่ไหน (โดยเฉพาะลิ้นส่วนหลัง) ดังนั้นอย่าลืมที่จะแปรงลิ้นคุณเบาๆในเวลาที่คุณแปรงฟันด้วยนะคะ

ไหมขัดฟัน
เรา เคยรู้ถึงความสำคัญของการใช้ไหมขัดฟันกันแต่ส่วนมากจะละเลยที่จะดูแลเหงือก โดยการไม่ใช้ซะเลย กลิ่นปากที่เหม็นนั้นก็มีส่วนมาจากที่เศษอาหารติดอยู่ระหว่างฟันและเหงือก ของคุณ ดังนั้นใช้เถอะค่ะ

บ้วนปาก

ถ้าหากตื่น ขึ้นมาในตอนเช้าแล้วเรามีกลิ่นปาก ไม่ต้องกังวลไปหรอกค่ะ ถึงอย่างไรผู้หญิงคงจะไม่อยากจูบในตอนเช้าก่อนแปรงฟันหรอก หลังแปรงฟันหรือหลังมื้ออาหารคุณอาจจะบ้วนปากเป็นประจำทุกวันเพื่อปกป้องฟัน และทำให้ลมหายใจสดชื่นอีกด้วย

หัดพกหมากฝรั่งกลิ่นมิ้นท์

ถ้า คุณไม่สามารถหลีกเลี่ยงบางสถานะการเพื่อจะไปบ้วนปากได้ หรือเป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้า สิ่งที่จะช่วยคุณได้ก็คือหมากฝรั่งกลิ่นมิ้นท์ รับรองได้ว่าผู้หญิงจะยอมให้คุณเข้าใกล้มากยิ่งขึ้นหากคุณมีลมหายใจที่สด ชื่น หรือเดี๋ยวนี้มีลิสเตอร์รีนชนิดแผ่นแล้ว ลองซื้อมาใช้เผื่อฉุกเฉินสิคะ

ผักชีฝรั่ง

ผักชีฝรั่ง เป็นส่วนผสมในอาหารที่ช่วยให้มีกลิ่นปากดีขึ้น ดังนั้นถ้าคุณทานขนมปังกระเทียมหรือพาสต้า พยายามหาผักชีฝรั่งเพื่อมากลบกลิ่น โดยมากหากเป็นตามร้านอาหารมักจะโรยผักชีฝรั่งอยู่แล้ว ก็เอามาเคี้ยวได้ค่ะหลังจากทานอาหารเสร็จ

เลี่ยงการสูบบุหรี่ การดื่มกาแฟและแอลกอฮอล์

คุณ สามารถแก้ปัญหานี้ได้จากต้นเหตุของมันและหลีกเลี่ยงอาหารบางจำพวก เช่น กระเทียม พิซซ่า หอมหัวใหญ่ หรืออาหารรสจัดต่างๆในวันที่คุณจะออกเดต ลดปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์และกาแฟ สูบบุหรี่ให้น้อยลง หรืองดไปเลย ผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่ชอบที่จะเดตกับผู้ชายที่มีกลิ่นตัวเป็นกลิ่นบุหรี่และโดย เฉพาะหากคุณสูบบุหรี่มาเป็นเวลานาน กลิ่นปากคุณจะเป็นกลิ่นเหม็นเน่า ผู้หญิงทนไม่ได้ค่ะ

หายใจทางจมูก

อีก สาเหตุหนึ่งของกลิ่นปากคือการที่น้ำลายไม่ได้หมุนเวียน หรือปากแห้ง ดังนั้นพยายามหายใจทางจมูกเพื่อป้องกันไม่ให้ปากคุณแห้งและยังทำให้ปากแตก ได้ง่ายๆอีกด้วย

ลองตรวจดู

ถ้าคุณไม่อยากจะอาย ขณะที่เดินไปเดินมาด้วยกลิ่นปากที่เหม็น ลองให้คนใกล้ชิดของคุณทดสอบดู เช่นคนในครอบครัวหรือเพื่อน ให้คุณลองพูดใกล้ๆและถามพวกเค้าว่ากลิ่นปากคุณโอเคหรือเปล่า

พบแพทย์

นอก จากการที่คุณต้องพบหมอฟันแล้ว คุณอาจจะพบแพทย์ด้วยเพระกลิ่นปากสามารถเกิดได้จากความเจ็บป่วย ความเครียด ปัญหาจากกระเพาะอาหาร ระบบหมุนเวียนของเหลวไม่ดี หรืออาจจะจากสาเหตุอื่นๆ ดังนั้นถ้าคุณมีกลิ่นปากที่เหม็นแล้วล่ะก็ ปรึกษาแพทย์เพื่อจะได้หาสาเหตุกัน

บทความแปลโดย Blueberry Heart

แก้ปัญหาเซ็กซ์เฉพาะหน้า?

Friday, August 28, 2009

เมื่อแอลกอฮอล์เข้าปาก
การดื่มที่มากจนเกินพอดี มักก่อให้ประสาทรับรู้ถึงการเร้าเริ่มทำงานอย่างเชื่องช้าและไม่เต็ม ประสิทธิภาพ ส่งผลให้กลเม็ดกระตุ้นรักเป็นไปอย่างยากลำบาก
๐ คำแนะนำ ให้ควบคุมปริมาณการดื่ม โดยอย่าให้มากกว่า 21 แก้วต่อสัปดาห์ ยิ่งไปกว่านั้น บุหรี่ยังก่อผลข้างเคียงได้ไม่แพ้กัน โดยนิโคตินตั้งตัวเป็นกำแพงขวางกั้นความรู้สึก แม้ในช่วงเริ่มต้นอาจช่วยกระตุ้นอารมณ์ให้เคลิบเคลิ้ม แต่เมื่อสูบเข้าไปมากๆกลับให้ผลลัพธ์ตรงกันข้าม

เมื่อต่างฝ่ายต่างเครียดและเหน็ดเหนื่อย

คุณเชื่อหรือไม่ว่า ความเครียดสามารถไปบดบังสมองส่วนสร้างสรรค์จินตนาการให้หมดความสามารถในการ ทำงานได้ง่ายๆ แถมยังส่งผลร้ายให้เกิดความอ่อนเพลียอีกต่างหาก
๐ คำแนะนำ การออกกำลังกายคือสิ่งที่ควรปฎิบัติที่สุด เพื่อให้คุณสามารถระบายความเครียดออกมาเป็นพฤติกรรม มิหนำซ้ำยังช่วยเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงขึ้นกว้าเดิม

เมื่อภาวะการณ์กดดันให้หดหู่
ไม่ว่าจะเป็นชีวิตการทำงานที่ปราศจากความสำเร็จ หรือการดำเนินชีวิตคู่อันกระท่อนกระแท่น ย่อมส่งผลกระทบถึงการแนบชิดบนเตียง แม้จะไม่ตรงไปตรงมานัก แต่พฤติกรรมความใส่ใจซึ่งขาดหายไป จะกลายเป็นช่องว่างที่สร้างปัญหาตามมา
๐ คำแนะนำ ถือเป็นเรื่องลำบากที่จะตัดเรื่องความยุ่งยากเหล่านี้ออกไปอย่างเด็ดขาด ดังนั้นคุณต้องรู้จักยอมรับสภาพความหดหู่ดังกล่าวให้ได้ เพื่อปรับตัวให้เข้ากับเรื่องราวต่างๆ

เมื่อทั้งสองฝ่ายไม่ยอมปริปากพูดปัญหา

ข้อนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องแนบชิดเลยสักนิด แต่กลับส่งผลร้ายได้เมื่อต่างฝ่ายเก็บงำปัญหาจนเกิดความกดดันภายในสะสม คอยวันที่จะระเบิดออกมา
๐ คำแนะนำ การเปิดอกเฉลยความในใจ ถือเป็นทางออกง่ายๆ เพียงต่างฝ่ายต่างเปิดอกพูดและรู้จักรับฟังด้วยความเข้าใจ ไม่ช้าเรื่องร้ายๆก็จะค่อยๆผ่านพ้นออกไป

เมื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเรียกร้องมากเกินเหตุ
เรียกง่ายๆว่า หาจุดสมดุลไม่พบ ต่างฝ่ายต่างไม่สามารถเสนอและสนองต่อความต้องการได้สำเร็จ
๐ คำแนะนำ อย่ากระตือรือร้นเพื่อเร่งตอบสนองความปรารถนา แต่จงมองงานรักให้ลึกซึ้งลงไปมากกว่านั้น โดยตัดเรื่องปริมาณออกไปเป็นอันดับแรก ก่อนมุ่งเน้นถึงคุณค่าทางความรู้สึก สิ่งสำคัญคือ ทั้ง 2 ฝ่าย ต้องยอมเผยความลับแก่กัน ถึงฝ่ายหนึ่งอาจจะมีปรารถนาอันล้นปรี่เกินเหตุ แต่ถ้าฝ่ายรับรู้จักผ่อนหนักเป็นเบา โดยการจี้จุดเร้าอารมณ์อย่างถูกต้อง ย่อมก่อผลให้เกิดความพึงใจอย่างแน่นอน

ทั้งหมดคือเหตุร้ายที่ทำให้เครื่องรักเกิดน็อคขึ้นมากลางคัน โดยเริ่มต้นด้วยสาเหตุยอดนิยมและลดหลั่นมาเรื่อยๆตามลำดับ ฉะนั้น การเตรียมตัวให้พร้อมอยุ่เสมอ ด้วยการรับรู้ถึงสาเหตุและวิธีการแก้ไขเอาไว้ล่วงหน้า จะช่วยให้ชีวิตรักของคุณดำเนินไปอย่างราบรื่น และปราศจากปัญหาหนักอกอันคาดไม่ถึง

ที่มา : ผู้หญิงน่ะค๊ะดอทคอม

8 เหตุผลที่เป็นโสดดีกว่า

Thursday, August 27, 2009

โอ้ยไม่ ต้องมามัวคิดหรอกว่าทำไมคุณถึงยังไม่มีแฟน รู้มั้ยว่า ผู้ชายหลายๆคนอาจจะอิจฉาคุณอยู่ก็ได้ ลองถามเพื่อนคุณที่มีแฟนแล้วดูสิ คุณอาจจะได้คำตอบที่คุณคิดไม่ถึงเลยก็ได้ โดยเฉพาะถ้าคุณยังไม่พร้อมที่จะมีพันธะถึงขั้นแต่งงานล่ะก็ อยู่เป็นโสดไปก่อนก็ดีนะ สนุกกับชีวิตให้เต็มที่ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่ชีวิตใหม่อีกแบบหนึ่ง

และนี่คือเหตุผล 8 ประการที่เป็นโสดทำให้คุณรู้สึกสบายใจขึ้น

1. คุณสามารถใช้เวลาที่จะเลือกคบหาคนที่คุณคิดว่า "ใช่"
การ ที่คุณเป็นโสดนี่แหละ...ทำให้คุณต้องการใฝ่หาคู่แท้ (ถ้ามีจริงนะ) หรือแม้แต่คนที่คุณจินตนาการเอาไว้หรืออาจจะใกล้เคียงที่สุด คุณจะไปที่ไหนก็ได้ตามงานหาคู่ต่างๆโดยไม่ต้องตะขิดตะขวางใจ ในอีกแง่หนึ่ง การที่คุณสามารถค้นหาคนที่คุณคิดว่าใช่ (แทนที่จะเป็นคนที่ถูกต้องอยู่เสมอ) นี่แหละคือการตัดปัญหาเกี่ยวกับชีวิตรักและชีวิตแต่งงานของคุณ รับรองว่าไม่ผิดหวัง

หลายๆครั้งที่ผู้ชายตัดสินใจกระโดดเข้าหาใครสักคนหนึ่งที่เขาอาจจะไม่ได้รู้จักดีพอเพียงเพราะ
- อายุเริ่มมากแล้ว
- เพื่อนๆในกลุ่มก็แต่งงานกันไปหมดแล้ว
- กลัวว่าคนนี้ที่คบอยู่นี่ล่ะ จะเบื่อกันไปเสียก่อน
- ความรักครั้งก่อนๆไม่ประสบผลอันใดเลย และก็มีผู้หญิงคนหนึ่งก้าวเข้ามา

การเล่นเกมหาคู่รักของคุณ จะช่วยลดสถิติการหย่าร้างได้เลยทีเดียวนะ

2. เอาเวลาไปมุ่งกับงานได้เต็มที่
ความ เป็นโสดของคุณสามารถทำให้คุณทำงานและทำผลงานต่างๆได้ตามที่คุณพอใจโดยไม่ ต้องห่วงเรื่องความสัมพันธ์ใดๆ คุณมีเวลามากกว่าคนอื่นๆที่จะทำงาน จะทำงานในวันหยุดก็ยังได้เลย และโดยเฉพาะหากคุณทำงานด้านที่ไม่มีเวลาจำกัด หรืออาจโดนเรียกตัวอยู่บ่อยๆ เช่น ตำรวจ หรือแพทย์ นักกฎหมายหรือธุรกิจใดๆก็ตาม เมื่อใดก็ตามที่คุณประสบความสำเร็จแล้วเดี๋ยวก็จะมีคนวิ่งเข้ามาหาคุณเยอะแยะจน คุณคิดไม่ถึงเลยเชียว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคนเหล่านั้นจะเป็นคนที่คุณต้องการจะแต่งงาน ด้วยเสียหน่อย ส่วนใหญ่มักไม่เข้าใจเวลาผู้ชายต้องเสียสละเวลาให้กับงานหรอกนะ

3. คุณอยากทำอะไรก็ได้ตามที่คุณต้องการ
โลก นี้เป็นของคุณเมื่อคุณเป็นโสด คุณสามารถไปไหนกับใครหรือไปที่ไหนก็ได้ ทำอะไรก็ได้และก็ทุกเวลาที่คุณต้องการด้วยสิ ไม่ต้องมามีคนคอยสั่งให้คุณต้องทำงานบ้าน ไปซื้อของ หรือแม้แต่พูดว่า "เมื่อไรจะโตสักที" และตอนนี้คุณก็มีเวลาเต็มที่ที่จะออกไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนชายจนรุ่งสาง หรือใช้เวลาไปกับกิจกรรมอดิเรกของคุณ และที่สำคัญที่สุดเลยก็คือคุณจะมีเวลาเป็นตัวของตัวเอง

4. สนุกกับเซ็กซ์ได้ทุกเมื่อ
เป็น โสดก็ดีอย่างนี้แหละนะ ไม่ต้องจำเจกับคู่นอนคนเดียวไปจนชั่วชีวิต แต่อย่าลืมการป้องกันล่ะ คุณจะออกไปเที่ยวเมื่อไรก็ได้ และคุณจะเจ๊าะแจ๊ะกับใครคนไหนก็ได้ และเมื่อถึงเวลาจะมีเซ็กซ์คุณอาจจะเปลี่ยนคู่ควงได้บ่อยเท่าที่ต้องการ เหมือนที่คุณเปลี่ยนกางเกงชั้นในนั่นแหละ จำไว้แค่ว่าเมื่อไรที่คุณพร้อมจะลงเอยกับคนที่คุณรักอย่างจริงใจ คุณต้องเลิกพฤติกรรมชายเจ้าชู้นี่เสียทีนะ

5. สร้างฐานะให้มั่นคง
คน เป็นโสดเนี่ย ไม่ต้องมีคนมาบังคับให้ซื้อแหวนเพชรหรือสินค้าราคาแพงๆให้ เก็บเงินไว้ซื้อของให้ตัวเองบ้างก็ดี หาเงินมาอย่างยากลำบากแต่ไม่มีโอกาสจะได้ใช้เพื่อตัวเองเสียที ต้องคอยซื้อนั่นซื้อนี่ให้อยู่เรื่อยเชียว แล้วเมื่อไรจะมีเงินเก็บกันล่ะ แหม...! เก็บเงินเอาไว้บ้างเผื่ออนาคตที่คุณแต่งงานไป คุณจะได้ใช้กับคนที่คุณรักจริงๆ ด้วยการไปเที่ยวพักผ่อน หรือซื้อบ้านในฝันสักหลังไง

6. ได้อยู่อย่างสงบสุข
เมื่อ คุณไม่ต้องคอยเอาใจคนนู่นคนนี้ ชีวิตคุณก็สงบสุข ไม่ต้องคอยตามอารมณ์ของแฟนหรืออารมณ์ฉุนเฉียวไม่รู้เวล่ำเวลาของเจ้าหล่อน หรือแม้แต่คุณจะได้ไม่ต้องโดนกล่าวหาว่าร้ายอยู่บ่อยๆที่คุณไปทำให้ชีวิตเธอ วุ่นวาย และแน่นอนที่สุดไม่ต้องมีการปะทะอารมณ์ ตราบเท่าที่หล่อนยังเป็นแค่แฟนไม่ใช่... คุณก็สามารถเดินออกมาชีวิตเธอได้อย่างอิสระเช่นกัน

7. คุณสามารถเก็บของเล่นสมัยเด็กเอาไว้ได้
ของ เล่นสมัยเด็กที่มีคุณค่าทางใจสำหรับคุณ ที่คุณอุตสาห์เก็บเอาไว้ อาจจะหายไปในวันรุ่งขึ้นหากคุณแต่งงานหรือมีแฟนเป็นตัวเป็นตน เธอไม่อยากจะให้คุณเก็บของเหล่านั้นเพราะเธอจะรู้สึกว่าคุณใส่ใจกับของเก่าๆ มากกว่าตัวเธอ และหากคุณเก็บสะสมอะไรก็ตามที่คุณอาจจะอยากซื้อมาสะสมล่ะก็ เธอก็จะบอกว่าเอาเงินไว้ให้เธอใช้จ่ายซื้อของเสียยังดีกว่า

8. ไม่จำเป็นต้องประนีประนอม
คุณ ไม่จำเป็นอีกเลยที่จะต้องเป็นฝ่ายอ่อนข้อให้กับความคิดไร้สาระของแฟนของคุณ สิ่งที่แฟนคุณทำอาจจะไม่ถูกใจถูกตาคุณเสียทั้งหมดแต่ในทางกลับกันสิ่งที่คุณ ทำอาจจะทำให้เธอไม่พอใจ และจบลงที่การทะเลาะ ในที่สุดคุณก็ต้องเป็นฝ่ายยอมเพราะเธอเป็นฝ่ายถูกเสมอ

อ่านมาถึงตรงนี้ จนจบแล้ว ถ้าคุณกำลังคบกับใครอยู่ คงไม่ต้องถึงกับเลิกกับแฟนเพื่อจะมีชีวิตอิสระ แต่ในเมื่อคุณเลือกที่จะคบใคร ควรให้เกียรติกันและกัน ความเข้าใจ ความรักที่ก่อสร้างกันมา ขอให้คิดให้ดีๆกับสิ่งที่คุณจะทำทั้งปัจจุบันและเพื่ออนาคตนะครับ

ที่มา : ผู้หญิงน่ะค๊ะดอทคอม

Ten Top Sex Tips

Wednesday, August 26, 2009

1. ใช้เวลา..ค่อยเป็นค่อยไป
เซ็กซ์ที่น่าพึงพอใจนั้น โดยมากแล้วเป็นเซ็กซ์ที่นุ่มนวลและใช้เวลา มิใช่เซ็กซ์แบบเร่งด่วน (ยกเว้นในบางกรณีที่ต้องการความตื่นเต้น) ลองทำให้เซ็กซ์ของคุณยาวนานไปถึงครึ่งชั่วโมงสิ ผู้หญิงโดยมากต้องการการเล้าโลมที่นุ่มนวล ฉะนั้นเซ็กซ์เร่งด่วนมักทำให้ผู้หญิงไปไม่ถึงจุดหมายเท่าไรนัก ใช้เวลาให้คุ้มค่าและสนุกไปกับมันจนให้ถึงที่สุด

2. เป็นนักสำรวจ
ไม่ต้องเขินหากต้องสำรวจร่างกายของกันและกันเพื่อความสุขสุดยอด เซ็กซ์ที่ดีนั้นไม่ใช่เพื่อการสืบเผ่าพันธ์ จงสำรวจด้วยความเอาใจใส่ในทุกๆซอกมุม น่าตื่นเต้นออก

3. ลดความกังวลซะบ้าง
คลายความกังวลทั้งปวงโดยเฉพาะหากคุณมีเซ็กซ์ไม่บ่อยนัก ความต้องการทางเพศนั้นขึ้นอยู่กับหลายๆปัจจัย อาทิ ความเหนื่อยล้า, ช่วงอายุ (แต่ละช่วงอายุมักมีความต้องการที่แตกต่างกันไป), ความเจ็บป่วย หรือแม้แต่สภาวะอากาศ!! (แต่โดยสถิติแล้วมักมีเซ็กซ์ในช่วงฤดูร้อน!!!!) ควรคำนึงคุณภาพมากกว่าปริมาณจะดีกว่านะคะ

4. ลองใช้ชีวิตรักนอกห้องนอนเสียบ้าง
ความสัมพันธ์ในแต่ละวันของคุณก็มีผลกับเซ็กซ์ที่เป็นสุขเช่นเดียว กัน หากคุณมีความสัมพันธ์กับคู่รักซึ่งมีความตึงเครียดอยู่เสมอเซ็กซ์ของคุณก็จะ ค่อยๆถูกทำลายลง จงใช้ความพยายามในการแก้ปัญหาความสัมพันธ์อันย่ำแย่และควรปรับปรุงในเรื่อง เซ็กซ์ด้วย ออกไปเดินเที่ยวและทำกิจกรรมกันที่อื่นบ้าง เพื่อผ่อนคลายคุณทั้งคู่

5. ใช้เวลาว่างด้วยกัน
ชีวิตที่น่าเบื่อก็ทำให้เซ็กซ์น่าเบื่อด้วยเช่นกัน ใช้ชีวิตออกห่างจากงานที่แสนน่าเบื่อเสียบ้างก็ดีนะ ลองใช้เวลาทำอาหารเย็นสุดอร่อยด้วยกัน หรือเช่าหนังมาดูด้วยกันสิ หรือหากมีเวลาว่างทั้งวันก็ออกไปเที่ยวกันเสียเลย และจะยิ่งดีหากคุณใช้เวลาในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์เพื่อท่องเที่ยวและออกห่าง จากสังคมที่คุณอยู่

6. งานมาเป็นอันดับสอง
ชาวมดงานมักไม่มีชีวิตชีวากับเซ็กซ์เท่าใดนัก เพราะถึงแม้ว่าจะไม่ได้นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ก็มักคิดถึงเรื่องงาน (น่าเบื่อออก) คุณควรตกลงกันว่า ในช่วงเย็นหลังเลิกงานแล้วจะไม่คุยกันเรื่องงานและหาอะไรสนุกทำบ้าง

7. ออกไปเดต
หากคุณห่างหายจากการออกเดตไปนานแล้วหลังจากได้คบกับคู่รัก ลองใช้เวลาด้วยกันให้เหมือนกับการออกเดตแรกๆสิคะ หรืออาจจะทำเซอร์ไพรส์เธอเสียเลย ด้วยการสั่งอาหารที่คุณทั้งคู่ชอบ และทานใต้แสงเทียน เสียงเพลงแผ่วเบา และไวน์สักแก้ว...ที่เหลือคิดเอาละกันนะคะ..:P

8. เป็นนักรักตัวยง
อ่านหนังสือแนะนำเกี่ยวกับเรื่องเซ็กซ์และความสัมพันธ์สักเล่ม และคุณจะพบว่ามีสิ่งแปลกใหม่ให้คุณได้ลองเสมอ อ่านและนำมาใช้ในชีวิตจริง รับรองได้ว่าเธอต้องชอบกับสิ่งที่คุณพยายามจะทำให้เธอมีความสุขแน่นอน

9. แฟนตาซี
หากคุณมีปัญหาในเรื่องการปลุกเร้าอารมณ์ ใช้จินตนาการของคุณลองนึกถึงสถานที่ที่ทำให้คุณรู้สึกดีที่สุด เช่น นึกภาพคุณอยู่กลางทุ่งหญ้าที่สูงท่วมหัวและคุณก็นอนเปลือยบนหญ้าที่เย็นๆ หรือชายหาดที่แสนอบอุ่นที่ไหนสักแห่งซึ่งคลื่นซัดปลายเท้าคุณเบาๆ มันจะช่วยให้คุณผ่อนคลายและรู้สึกว่าตัวเองเซ็กซี่ดีจัง...ว้าว!!

10. สื่อสาร
เซ็กซ์ที่ดีรวมอยู่ในการสื่อสารที่ดีด้วย หลายๆคนต้องการให้คู่รักอ่านใจออกว่าคุณกำลังต้องการให้เธอทำอะไรให้คุณ รู้สึกดีและพอใจ แต่ไม่เคยคาดหวังกับสิ่งอื่นที่อาจจะดีกว่าด้วยซ้ำไป การบอกคู่รักว่าคุณต้องการอะไร และลองฟังสิ่งเธอต้องการบ้าง ที่เหลือก็รอให้คุณและเธอใช้เวลาอย่างมีความสุขกับประสบการณ์แห่งความ ปรารถนาของคุณทั้งสองคน


by Julia Cole
แปลโดย ...Blueberry Heart

ทะเลาะยังไงไม่ให้แพ้

Tuesday, August 25, 2009

ทักษะต่างๆเช่น วิธีพูดปลอบใจ หรือการพูดจาทักทายตำรวจขณะโดนตรวจยังไม่สำคัญเท่ากับการฝึกเถียงให้ชนะแฟน สาวของคุณ เพื่อรักษาศักดิ์ศรีของสุภาพบุรุษสุดแสบไว้ให้ถึงที่สุด ถ้าไม่อยากเพลี่ยงพล้ำต้องอ่าน!!!

ประเด็นย้ายมาอยู่ด้วยกันดีไหม?
เธออยากย้ายมาอยู่กับคุณใจจะขาด แต่คุณเริ่มมองเห็นกรงขังในหัวขึ้นมารำไร กลัวว่าบ้านอันแสนสุขจะกลายเป็นคุกไปในพริบตา
ข้อควรจำ ท่องประโยคนี้ไว้ให้ขึ้นใจ "ผมรู้ว่าคุณพร้อมจะยกระดับความสัมพันธ์ของเรา แต่ผมขอเวลาอีกหน่อย ถ้าผมจะอยู่กับใคร คนนั้นก็ต้องเป็นคุณแน่นอน ผมอยากแชร์ชีวิตกับคุณ แต่ตอนนี้ ผมยังมีเรื่องของตัวเองให้คิดอีกมาก ยังไม่พร้อมที่จะดูแลคุณอย่างที่คุณสมควรจะได้รับ"..พูดแค่นี้เธอก็ซึ้งแล้ว ล่ะ การแสดงออกให้เธอเข้าใจว่าทั้งคุณและเธอต่างก็ต้องการสิ่งเดียวกัน เพียงแต่จังหวะเวลายังไม่เหมาะสมเท่านั้น ถ้าผู้ชายพูดในทำนองว่าเขาเองยังไม่พร้อม คนรักกันก็มักจะใจอ่อนและยอมให้โอกาสเป็นธรรมดา

ประเด็นไม่ช่วยงานบ้าน
เธอคิดว่าคุณขี้เกียจตัวเป็นขน ในขณะที่คุณเห็นว่าแค่ลากถุงขยะไปทิ้งสัปดาห์ละสองหนก็น่าจะพอแล้ว ยังจะเอาอะไรกันอีก
ข้อควรจำ ท่องให้ขี้นในใจว่า "คุณพูดถูก ผมขี้เกียจมาก ผมพร้อมจะแก้ไขตัวเองตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย" จากนั้นก็ม้วนแขนเสื้อขึ้น ลงมือทำงานบ้านอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมง ก่อนจะสรุปว่า "ต่อไปผมจะไม่ทิ้งหนังสือพิมพ์เกะกะอีก" เวลาพูดให้ใช้น้ำเสียงนุ่มนวลเหมือนกำลังเล่นละครเช็กสเปียร์ เพื่อสร้างภาพว่าคุณเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ "วิธีสื่อสารกันให้เข้าใจได้ก็คือ คุณต้องตั้งใจฟังเธอให้รู้เรื่อง ขนาดที่ว่าคุณพูดซ้ำออกมาได้ อย่างเช่นถ้าเธอบอกว่าห้องรกไปหมด คุณก็จะต้องคล้อยตามบอกว่า อืมม..มันรกจริงๆด้วยแหละ ไม่ใช่ไปเถียงเธอว่าของที่วางเกะกะอยู่นั่นไม่ใช่ของคุณ

ประเด็นอาหารจานโปรด
เธอต้องการให้คุณกินอาหารที่มีประโยชน์ เน้นผักและวิตามิน แต่คุณนึกว่าเธอพูดเล่นเพราะคุณไม่เข้าใจว่าในสลัดที่มีแค่ทูน่าจืดๆกับใบ ผักกาดหอมชืดๆจะเป็นอาหารไปได้อย่างไร
ข้อควรจำ คุณต้องมีข้อมูลมากพอที่จะเกลี้ยกล่อมเธอได้ อย่างเช่น "ผักแช่แข็งเก็บกักสารอาหารไว้ได้มากกว่า" คุณต้องแยกแยะส่วนประกอบของอาหารฟาสต์ฟู้ดที่คุณโปรดปราน และจำให้ได้ว่าแต่ละอย่างพอจะมีประโยชน์อะไรบ้าง ตัวอย่างเช่น บะหมี่สำเร็จรูป ให้คาร์โบไฮเดรต, ปลาชุบแป้งทอดมีสังกะสี ซึ่งจำเป็นมากสำหรับการผลิตสเปิร์ม,สเต็กมีธาตุเหล็กบำรุงร่างกาย

การทะเลาะกันบ้างนานๆครั้งก็ไม่ได้เสียหายอะไร ถ้าคุณยังคงปรองดองกันได้ และยอมรับในรสนิยมความคิดเห็นที่แตกต่างกัน แต่ก็ยอมๆไปนั่นล่ะดี ยังไงก็คนที่คุณรัก

ที่มา : ผู้หญิงน่ะค๊ะดอทคอม

ไปไม่ถึงฝั่งฝันเพราะดันล่มปากอ่าว

Monday, August 24, 2009

ปัญหาการหลั่งเร็วหรือล่มปากอ่าวนี้ นอกจากจะทำให้ผู้ชายรู้สึกไม่ดี จะพาลทำให้ผู้หญิงผิดหวังเอาได้เหมือนกัน ปัญหานี้จึงนับว่าเป็นปัญหาใหญ่สำหรับใครหลายๆคนเลยทีเดียว หากใครเคยลองเทคนิคที่ใช้การบีบแล้วไม่ได้ผลล่ะก็ คงต้องมาแก้ปัญหาจากหลายๆอย่างแล้วล่ะค่ะ


1.เรียนรู้การควบคุมการหลั่งจากการช่วยตัวเอง
การช่วยตัวเองของหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ทั้งหลาย ถ้ากระทำในบรรยากาศสบายๆ ไม่เร่งร้อนไม่รีบเร่งแล้วละก็ จะสามารถที่จะสัมผัสได้กับความสุขที่กำลังจะคล้อยเคลื่อนมา และพวกเขาก็จะสามารถชะลอการหลั่ง หยุดจังหวะพักเพื่อให้อารมณ์สงบก่อนที่จะเคลื่อนไหวต่อไป หลายรายรู้จักการผ่อนคลายกล้ามเนื้อและลดอารมณ์เพศลงจนมังกรผงาดกลับเข้าสู่ สภาพเดิมก่อนที่จะจัดการกระตุ้นใหม่ไปให้ถึงจุดสุดยอด พอเขามีประสบการณ์กับคนรัก เขาจะเข้าใจและรับรู้ได้ว่าตอนนี้นะที่กำลังจะทนไม่ไหวแล้ว เขาก็จะหยุดถอนกายออกจากเธอ หันมากอดกัน คุยกันเป็นระยะๆ อย่างมีความสุข เท่านี้เขาก็สามารถที่จะยืดเวลาของการร่วมรักออกไปให้นานเท่าที่เขาอยากแล้ว

2.ช่วยตัวเองก่อนมีเพศสัมพันธ์
ย่อมแน่นอนว่าการไปถึงดวงดาวสักครั้งหนึ่งก่อนนั้น การไปถึงฝั่งฝันในครั้งต่อมาจะยืดยาวออกไป ดังนั้นเคล็ดลับของชายชาตรีอีกข้อหนึ่งก็คือการช่วยตัวเองให้เรียบร้อยก่อนท ี่จะขึ้นเตียงไปสวรรค์กับคนรัก...โดยไม่บอกให้เธอรู้

ลองช่วยตัวเองสัก 2-4 ชั่วโมงก่อนถึงเวลาร่วมรัก หรือถ้าอายุมากขึ้นก็อาจจะช่วยตัวเองล่วงหน้าสักครึ่งวันก่อนก็ได้ พอถึงเวลาสวรรค์ก็จะลอยลงมาช้าลงเหมือนที่ฝันไว้ก็ได้

3.มีซ้ำเป็นครั้งที่สอง
แม้ว่าเพศสัมพันธ์ครั้งแรกคุณจะล่มปากอ่าว แต่ถ้าคุณมีคนรักหรือคู่นอนที่เข้าใจ และรอความสุขที่เต็มอิ่มในครั้งที่สองได้ รวมทั้งคุณมีสุขภาพแข็งแรงและมีพละกำลังพอที่จะร่วมรักได้หลังจากพักผ่อนสัก ระยะหนึ่งแล้ว ครั้งที่สองนั้นคุณและเธอจะมีความสุขสมที่เพิ่มขึ้น และยาวนานขึ้นก็ได้

จัดการร่วมรักกันให้เรียบร้อย อาหารค่ำที่แสนจะโรแมนติก ล่มปากอ่าวหรือหลั่งเร็วของคุณไปตามปกติ หลังจากนั้นก็จัดการพาเธอขึ้นสวรรค์จะด้วยออรัลเซ็กซ์หรือมือก็ได้ สุขสมอารมณ์หมายแล้วก็นอนกอดกันหลับให้สบายๆ ไม่ต้องเครียด ตื่นเช้าขึ้นมาในขณะที่ฮอร์โมนเพศชายกำลังเต็มเปี่ยมก็จัดการร่วมรักกับเธออ ีกสักครั้ง เลือกให้เป็นเช้าวันเสาร์หรือวันอาทิตย์ที่รู้สึกสบายๆ ยิ่งทำให้เวลาของความสุขยาวนานยิ่งขึ้นอีก บางคนบอกว่ายืดเวลาได้ถึง 15 นาทีทีเดียว

อาจจะปรับเปลี่ยนเป็นให้เธอทำออรัลเซ็กซ์ให้คุณจนหลั่งออกมา หรือจะเป็นประเภทต่างช่วยเหลือในท่า 69 อะไรแบบนั้นจนคุณเสร็จสมอารมณ์หมายแล้ว และเธอก็พอใจไปบางส่วน จัดการแช่ในอ่างน้ำอุ่นด้วยกัน...หรือหาน้ำมันหอมระเหยมานวดให้แก่กันจนมีแร งและมีอารมณ์ใหม่แล้วก็จัดการบรรเลงบทเพลงแห่งความพิศวาสที่รอคอยอย่างนุ่มน วลและเนิ่นนานตามที่หวังและตั้งใจ

4.หยุด...หยุด...หยุดเป็นระยะๆ
หยุดการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวของอาวุธประจำกายเป็นระยะๆ เป็นเทคนิคทีเด็ดที่ทุกคนควรจะฝึกเอาไว้ให้ดี แต่ต้องหยุดก่อนที่รู้สึกว่าภูเขาไฟจะระเบิดเพราะไม่อย่างนั้นยั้งไม่ทันแน่

ผู้ชายหลายรายสามารถที่จะมีสัมพันธ์สวาทได้นานนับชั่วโมงจากเทคนิคดังกล่าว โดยที่ระหว่างหยุดพักเขาจะฝึกการหายใจช้าๆ ให้เป็นธรรมชาติ และประเล้าประโลมเธอผู้นั้นด้วยวิธีการอื่นๆ รอจนเขาพร้อมที่จะหลั่งแล้วเขาจึงเคลื่อนกายและอวัยวะของเขาให้เร็วขึ้น และเป็นจังหวะมากขึ้น

5.หาท่วงท่าและลีลาแห่งความรักที่เหมาะสม
ผู้ชายทั้งหลายรู้ตัวอยู่แล้วว่า การกระตุ้นที่ส่วนปลายนั้นจะทำให้หลั่งได้ง่าย การเลือกท่วงท่าที่กระตุ้นน้อยจะทำให้สามารถยืดระยะเวลาแห่งการหลั่งออกไปได ้ เช่น ท่วงท่าที่เป็นฝ่ายรับ ให้เธอเป็นฝ่ายรุก หรือไม่ก็ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวของรักของหวงสั้นๆ ไม่ล่วงล้ำเข้าไปลึกนักก็ได้ รวมทั้งการเคลื่อนไหวช้าๆ ภายในของเธอก็เป็นอีกเทคนิคหนึ่งที่จะยืดระยะเวลาแห่งความสุขออกไปได้ไม่มาก ก็น้อย แถมการเปลี่ยนท่วงท่าบ้างจะทำให้ไม่เบื่อหน่ายต่อการร่วมรักด้วย

6.ถอนกายออกมาทั้งหมด
ถ้าเป็นคนหนุ่มประเภทขยับสั้นๆ ยาวๆ ไม่เป็น และหยุดก็ไม่เป็น ต้องใส่เกียร์เดินหน้าลูกเดียว ให้ทำดังนี้คือ...จัดการเคลื่อนทัพเข้าไปในส่วนสงวนของเธอ ขยับตามจังหวะเร้าใจที่คุณพอใจ ได้สัก 1 นาที แล้วก็ถอนกายออกมา กระตุ้นส่วนอื่นของเธอจนสบายใจ แล้วจัดการเคลื่อนทัพเข้าโจมตีใหม่อีกสัก 1 นาที ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จะยืดเวลาแห่งความสุขออกไป

พอได้ที่แล้ว ก็เพิ่มเวลาในการอยู่ภายในส่วนสงวนของเธอเป็นครั้งละ 2 นาที 3 นาที จนถึง 5 นาที ตามลำดับ ของแบบนี้ ฝึกจนได้ที่ไม่นานคุณก็จะกลายเป็นยอดนักรักไปในที่สุด

7.ควบคุมจิตใจ...ฝึกสมาธิ
ใครไม่รู้กล่าวว่า ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว การฝึกควบคุมจิตใจจะทำให้สามารถควบคุมการหลั่งได้ ลองทำดูนะครับมีหลายเทคนิค

คุณนอนลง ให้เธอกระตุ้นจนอาวุธคุณพร้อมรับ จากนั้นก็ให้เธอจัดการกับมังกรผงาดของคุณ ไม่ว่าจะเป็นแบบ ชิวหาพาเพลิน อุ้งมือหฤหรรษ์ หรือจะให้เธอเป็นคนจัดการในรูปแบบพี่ไม่ต้องน้องขยับเองก็ได้

8.ทายาชาที่เจ้าโลก
เจลที่ผสมยาชาหลายชนิดมีคุณสมบัติที่จะลดความไวจากการสัมผัสที่ ผิวหนังของมั งกรผงาดประจำตัวชายชาตรี แต่ขอบอกก่อน...ว่าใช้ไม่ได้ผลมากนักดอก และควรจะเลือกใช้ชนิดที่ได้รับการรับรองคุณภาพและมาตรฐานจากองค์การอาหารและ ยาเท่านั้น ไม่อย่างนั้นของรักของหวงอาจจะมอดมลายไปก็ได้ใครจะรู้

9.ขมิบวันละร้อย ห้ามน้อยกว่านี้
ขมิบอะไร...ก็ขมิบก้นน่ะซิ ฝึกขมิบก้นเหมือนกับคุณกำลังจะกลั้นถ่ายอุจจาระเวลาท้องเสียนั่นแหละครับ ขมิบอย่างน้อยวันละ 100 ครั้ง และต้องกลั้นไว้ไม่ปล่อยให้กล้ามเนื้อคลายอย่างน้อย 10 วินาที จนคุณแน่ใจได้ว่าสามารถที่จะสั่งกล้ามเนื้อดังกล่าวได้แล้วให้หดตัวยามต้องก าร พอเวลาที่คุณจะหลั่งก็จัดการขมิบกล้ามเนื้อดังกล่าวเสียก็อาจจะหยุดการหลั่ง ได้ แต่เป็นวิธีการฝึกยากที่สุด


10.สูงสุด คืนสู่สามัญ
เมื่อถึงวัยร่างกายก็เปลี่ยนแปลง ผู้ชายหลายรายเมื่ออายุมากขึ้นก็จะหลั่งช้าลงเองโดยไม่ต้องทำอะไร
และเมื่อมีคนรักคนเดิม มีอะไรกันในรูปแบบเดิมๆ นานไป ก็เกิดความเคยชิน ก็หลั่งช้าเอง ไม่อย่างนั้น จัดการให้เธอสำเร็จเสร็จสมอารมณ์หมายไปก่อนแล้ว คุณผู้ชายจะถึงเมื่อไรก็คงไม่เป็นไรกระมัง ที่แน่แท้ที่สุดก็คือ ไม่มีวิธีการหรือเทคนิคใดเทคนิคหนึ่งที่ได้ผลแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์

ลองนำวิธีเหล่านี้ไปใช้ คุณอาจจะต้องใช้หลายวิธีประกอบกันเพื่อให้ได้ผล และอย่าลืมบอกต่อๆกันด้วยล่ะ เพราะคนที่มีปัญหาเช่นนี้ยังมีอีกเยอะ

ที่มา : ผู้หญิงน่ะค๊ะดอทคอม

อาหารธรรมดาที่เพิ่มพลังทางเพศ

Sunday, August 23, 2009

1. แครอทและแอปริคอท
แครอทเป็นอาหารอีกชนิดหนึ่งที่มีชื่อติดกลุ่มอาหารเพิ่มสมรรถภาพทางเพศใน ชาวตะวันออก ราชวงศ์กษัตริย์นิยมเสิร์ฟแครอทในงานเลี้ยงแนะนำหนุ่มสาวในการเลือกคู่ เนื่องจากแครอทมีสารเบต้าแคโรทีนสูง เชื่อกันว่า เบต้าแคโรทีนช่วยเพิ่มปริมาณสเปิร์มและระดับฮอร์โมนเพศโปรเจสเตอโรน ส่วนในประเทศจีนความเชื่อที่ปฏิบัติกันในกลุ่มเจ้าสาวจีน คือ ต้องรับประทานผลแอปริคอทเพื่อเพิ่มโอกาสปฏิสนธิ พูดง่ายๆ คือ จะได้ตั้งครรภ์เร็วขึ้น แอปริคอทมีสารเบต้าแคโรทีนและแมงกานีสสูง ซึ่งสารอาหารทั้งสองชนิดถูกใช้ในการสร้างฮอร์โมน

2. กล้วยหอม
กล้วยหอมเป็นผลไม้ที่เชื่อว่าเพิ่มความสามารถการมีเซ็กซ์ ทั้งนี้ อาจจะเป็นเพราะนอกจากกล้วยจะมี โปตัสเซียมสูง ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาทแล้ว ยังมีวิตามินบี 6 ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างสารสื่อข่าวในสมองอีกด้วย

3. มะเดื่อ
มะเดื่อเป็นผลไม้ยอดนิยมที่เชื่อว่าเพิ่มสมรรถภาพทางเพศของชาวกรีกในสมัย โบราณ มะเดื่อมีวิตามินบีชนิดไนอะซินสูง วิตามินชนิดนี้ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในทุกส่วนของร่างกาย และนอกจากนี้ยังมีแมกนีเซียมสูง ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างฮอร์โมน

4. หน่อไม้ฝรั่ง
ประเพณีเก่าแก่ของชาวอังกฤษ เชื่อว่า การรับประทานหน่อไม้ฝรั่งต้มทุกเช้า เป็นเวลา 3 วันติดต่อกัน จะช่วยเพิ่มความรู้สึกทางเพศได้ดี ทั้งอาจจะเป็นเพราะหน่อไม้ฝรั่งเป็นอาหารอีกชนิดหนึ่งที่เป็นแหล่งของไนอะซิ น

5. ปลาและหอย
ปลาและหอย เป็นอาหารที่เกี่ยวข้องกับสมรรถภาพทางเพศอีกชนิดหนึ่งในวัฒนธรรมการกินอาหาร ของหลายๆ ประเทศ ถึงกับว่าเมื่อมีการรณรงค์ให้รับประทานอาหารทะเล สถาบันหอยนางรมของสหรัฐอเมริกาเหนือถึงกับใช้สโลแกนว่า กินหอยนางรม สร้างชีวิตรักให้ยืนยาว การเอ่ยอ้างเช่นนี้มาจากข้อเท็จจริงที่ว่า หอยนางรมมีแร่ธาตุสังกะสีสูง และสังกะสีช่วยทำให้สเปิร์มเคลื่อนไหวได้เร็วขึ้น ตามทฤษฎีจะช่วยเพิ่มโอกาสการมีลูกนั่นเอง นอกจากนี้ สังกะสียังช่วยลดความเสี่ยงการเกิดต่อมลูกหมากบวมอักเสบ ซึ่งถ้าเกิดกับชายใดก็จะทำให้เกิดปัญหาทางเพศได้เช่นกัน

กรดโอเมก้า 3 ในอาหารทะเลเป็นสารอีกชนิดหนึ่งที่สร้างสารคล้ายฮอร์โมนชื่อ พลอสตาแกลนดิน ซึ่งมีความสำคัญต่อระบบประสาทในด้านการตอบสนองทางเซ็กซ์ และเคยใช้เป็นสารที่ใช้ฉีดเฉพาะที่ในชายที่เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ช่วยให้ผนังเส้นเลือดคลายตัว ทำให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะเพศได้ดีขึ้น แต่ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าน้ำมันปลาแคปซูลจะให้ผลเหมือนอาหารธรรมชาติ ฉะนั้นคุณผู้ชายไม่ต้องวิ่งไปซื้อน้ำมันปลามารับประทานให้สิ้นเปลืองเปล่าๆ


ข้อแนะนำที่ดีให้คนเลือกอาหารและเครื่องดื่มที่ดี ซึ่งหมายถึงการมีโภชนาการที่ดีนั่นเอง และเมื่อร่วมกับการออกกำลังกายสม่ำเสมอจะเป็นสูตรเพิ่มสมรรถภาพทางเพศได้ดี ที่สุด เพราะถ้าคนเรามีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ร่างกายก็มีความฟิตทุกส่วนนั่นเอง

สูตรในการกินเพื่อเติมความโรแมนติกและสมรรถภาพทางเพศให้กับชีวิต

๐ อย่าลืมผักและผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีนสูง เป็นส่วนหนึ่งของความสมดุลของมื้ออาหาร

๐ กินปลาสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับร่างกายว่าได้รับกรดโอเมก้า 3 เพียงพอ

๐ ดื่มแต่พอสมควร ดื่มมากไปจะลดความรู้สึกการตอบสนองของประสาทที่กระตุ้นความรู้สึกทางเพศ

๐ ถือศีล 5 ในการงดสูบบุหรี่ เพราะสารนิโคตินอาจลดความรู้สึกทางเพศในชาย ลดโอกาสการตั้งครรภ์

๐ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การวิจัยในมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในซานดิเอโก พบว่า ชายวัยกลางคนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอจะมีความฟิตมากกว่าคนที่ไม่ออกกำลังกาย

๐ เลือกอาหารที่มีวิตามินบีและซี ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างสรรค์สื่อสัญญาณในสมองที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกทาง เพศ การสร้างสเปิร์ม และช่วยให้สเปิร์มแข็งแรง

๐ ยาบางชนิดอาจมีผลข้างเคียงต่อความรู้สึกทางเพศ ทางที่ดีควรปรึกษาแพทย์

ทั้งหมดนี้ก็คือ หลักของโภชนาการดีร่วมกับการออกกำลังกายสม่ำเสมอนั่นเอง ถ้าปฏิบัติตัวได้ตามสูตรข้างบนคงไม่ต้องเสียเงินซื้อยาโด๊ปต่างๆ ให้สิ้นเปลือง

ที่มา : ผู้หญิงน่ะค๊ะดอทคอม

วิธีใช้ถุงยางอนามัย

Saturday, August 22, 2009

ถุงยางอนามัยเป็นอุปกรณ์ที่ดีที่สุดในขณะนี้ สำหรับผู้ชายที่คิดจะมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงที่ไม่ใช่ภรรยา หรือกับแฟนที่คบกันอยู่และไม่พร้อมสำหรับชีวิตคู่ที่จะมีลูกน้อย เพราะนอกจากจะให้ความปลอดภัยสูงมาก ไม่ทำลายความรู้สึกต่อการสัมผัส แล้วยังมีราคาไม่แพง วิธีการเลือกใช้ถุงยางอนามัยก็คือ

1. ถุงยางเก่าเก็บไม่ควรนำมาใช้ เพราะอาจมีรอยแตก หรือรูรั่ว และเมื่อใช้แล้วไม่ควรนำกลับมาใช้ใหม่ ไม่ว่าจะนำไปล้างหรือซัก เพราะเป็นของที่ควรใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง

2. ถุงยางจากร้านจำหน่ายโดยปกติมีอายุอยู่ระหว่าง 2-3 ปี ทั้งนี้ขึ้นกับอุณหภูมิของอาคารที่เก็บถุงยางไว้ หากเป็นที่ร้อนๆก็จะมีอายุสั้นลง เวลาซื้ออย่าลืมดูวันหมดอายุ

3. หากถุงยางที่คุณซื้อมาไม่มีการเคลือบสารหล่อลื่นก็อาจก่อให้เกิดความระคาย เคืองกับผู้หญิง ถ้าคุณจะทาสารหล่อลื่นห้ามใช้พวกวาสลีน เพราะมีฤทธิ์ทำให้ถุงยางอ่อนตัวหรือละลายได้ ทางที่ดีควรใช้เจลหล่อลื่นจะดีกว่า

4. ควรสวมถุงยางก่อนที่อวัยวะเพศของคุณจะเข้าไปใกล้ชิดกับช่องคลอดของผู้หญิง เพราะน้ำหลั่งของคุณอาจมีสเปิร์มผสมอยู่ แม้ยังไม่ได้หลั่งอสุจิก็ตาม

5. อย่าใช้ถุงยางที่มีขนาดเล็กหรือคับเกินไป ควรให้มีช่องว่างเว้นไว้บ้างตรงส่วนปลายถุง ในขณะที่คุณม้วนมันเพื่อจะถอดออก น้ำอสุจิจะได้ขังอยู่ส่วนปลาย ไม่ไหลหกออกมา และหากคับมากก็จะปริแตกได้ง่าย

6. ควรถอนอวัยวะของคุณออกจากของฝ่ายหญิงในขณะที่ยังแข็งตัวอยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้อสุจิไหลล้นออกมา

7. เวลาถอดถุงยางออกอย่าลืมใช้มือหนึ่งจับที่ปากถุงและอีกมือประคองส่วนปลาย เพื่อให้แน่ใจว่าไม่หลุดมือ

8. หลังจากใช้แล้ว ยกมาดูให้แน่ใจว่าถุงยางนั้นไม่มีรอยรั่ว เท่านี้คุณก็จะปลอดภัย ทั้งจากการทำผู้หญิงตั้งครรภ์และติดโรค โดยเฉพาะโรคเอดส์

ที่มา : ผู้หญิงน่ะค๊ะดอทคอม

12 เทคนิคกันสมองเหี่ยว

Friday, August 21, 2009

เรื่องของการปลุก ระดมสมองให้สดชื่นแจ่มใสเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็ต้องการ เพราะเมื่อสมองแจ่มใส ปลอดโปร่ง อะไรก็ดีตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็น การฟัง พูด อ่าน เขียน จดจำ หรือความคิด

กลับกัน หากสมองเหี่ยว ฝ่อ ไม่สดใส อาจจะเกิดจากความเครียด หรือการหมกมุ่นกันเรื่องใดเรื่องหนึ่งนานๆ หรือ ขาดการพักผ่อน ทักษะดังกล่าวก็จะลดน้อยถอยไป กรรมวิธีที่จะทำให้สมองแข็งแรงไปอย่างยืนยาวนั้น สถาบันดีสปายน์ไคโรแพรคติก เทคนิคมาแนะนำ

1. ดื่มน้ำให้พอ เพราะสมองของคนเราประกอบด้วยน้ำถึง 85% ดังนั้นเมื่อร่างกายขาดน้ำ สมอง ก็จะทำงานช้าลง ทำให้กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดอะไรไม่ค่อยออก

แต่การดื่มน้ำนั้น แต่ละคนจะมีความต้องการน้ำไม่เท่ากันขึ้นอยู่กันน้ำหนัก และพฤติกรรมต่างๆ ทั้งการเคลื่อนไหว และการบริโภค แต่โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้ใหญ่ควรดื่มน้ำวันละ 3-5 ลิตร ส่วนเด็ก 2-3 ลิตร

2. หายใจลึกๆ ช่วยส่งพลังงานไปถึงสมอง ถ้านั่งหายใจ หลังก็ควรจะตั้งตรง จะช่วยให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น และถ้านั่งนานเนไปควรเปลี่ยนอิริยาบถ ยืดเส้น ยืดสาย เพื่อให้ปอดขยาย

3. เลือกรับประทานอาหาร ที่มีไขมันดีทดแทนไขมันในสมองที่สึกหรอ อาทิ น้ำมันปลา สารสกัดจากใบแปะก๊วย ปลาแซลมอน อีฟนิ่งพริมโรส วิตามินซี

4. ตั้งโปรแกรมให้สมอง โดยใช้ความตั้งมั่นตั้งใจอย่างจริงจัง สมองจะค่อยๆ ปรับพฤติกรรมให้ไปสู่เป้าหมายได้

5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ ช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ไปกระตุ้นพลังออร่าให้สว่างสดใสจะช่วยดึงดูดสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต

6. ฝึกสมาธิพัฒนาอารมณ์ให้สมองผ่อนคลาย จะช่วยทำให้มีจินตนาการมีความคิดสร้างสรรค์ สามารถทำได้ทั้งตื่นเช้าหรือก่อนนอนทุกวัน

7. ออกกำลังกาย กระตุ้นการทำงานของสมองพร้อมกับดื่มน้ำบ่อยๆ

8. หาอะไรใหม่ๆ ให้ชีวิต เช่น รู้จักคนใหม่ๆ อ่านหนังสือเล่มใหม่ ขับรถเส้นทางใหม่ หรือแลกเปลี่ยนทัศนคติใหม่ๆ กับเพื่อน สมองจะหลั่งสารแห่งความสุข (เอ็นดอร์ฟิน) และสารแห่งการเรียนรู้ โดปามีน ทำให้เกิดการอยากเรียนรู้อย่างมีความสุข

9. รู้จักให้อภัยและลดความโกรธ จะทำให้สูญเสียพลังงานน้อยลง และยังเป็นการช่วยลดภาระให้กับสมอง

10. พูดเรื่องดีๆ กับตัวเองซ้ำๆ ให้เกินวันละ 100 ครั้ง

11. บันทึกสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันลงในสมุดบันทึก ช่วยทำให้สมองคิดในเชิงบวก ทำให้หลับฝันดี มีสมาธิ

12. พักผ่อนให้เพียงพอ โดยช่วงเวลา 21.00 น. จะเป็นช่วงเวลานอนที่ดีที่สุด

เรื่องนี้ไม่ใช่เหมาะสำหรับเด็ก แต่เป็นเรื่องที่ทุกเพศ ทุกวัยสามารถปฏิบัติได้เป็นการยืดอายุสมอง ให้อยู่กับเราไปได้นานเท่านาน!!

ที่มา : ผู้หญิงน่ะค๊ะดอทคอม

เมื่อไรควรจะไปสปา

Thursday, August 20, 2009

" สปา " หรือวารีบำบัด เริ่มต้นมาจากแนวคิดการทำให้สุขภาพดีด้วยน้ำ จนกระทั่งพัฒนามาเป็นการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ที่ให้ความสนใจกับความสมดุลของร่างกายและจิตใจโดยวิถีธรรมชาติสปาในปัจจุบัน จึงผสมผสานวารีบำบัดเข้ากับวิธีการดูแลสุขภาพและความงามในรูปแบบต่างๆ ตามภูมิปัญญาของแต่ละท้องถิ่น โดยหันมาเน้นการเตรียมความพร้อมของร่างกายและจิตใจให้แข็งแรงมีภูมิคุ้มกัน สูง มากกว่าการดูแลบำบัดโรคหรือฟื้นฟูสุขภาพตามแนวคิดเดิมในอดีต

สำหรับ บางคนการใช้บริการสปาจึงหมายถึงช่วงเวลาที่จะได้สัมผัสกับความรู้สึกโล่ง เบา ปลอดโปร่ง ผ่อนคลาย เกิดความสงบภายใน ขณะเดียวกันก็ได้รับความสุขความเพลิดเพลินและการฟื้นฟูสุขภาพไปพร้อมกัน

ตามที่ได้บอกแต่แรกแล้วว่า รากศัพท์ในภาษาละตินของคำว่า SPA มาจากคำว่า "Sanus Per Acqua" หมายถึง การมีสุขภาพดีด้วยน้ำ (Health through water) จัดเป็นการดูแลรักษาสุขภาพด้วยการใช้น้ำบำบัด เช่น อาบน้ำในบ่อน้ำพุร้อนแช่ตัวในน้ำแร่ แช่น้ำนม อบตัว อบผิวด้วยไอน้ำ บำรุงผิวด้วยผลิตภัณฑ์นานาชนิด เป็นต้น

ดังนั้น ท่านที่เคยใช้บริการสปาเป็นประจำจึงมักจะพบว่าบริการอาบน้ำแร่ แช่น้ำนม อบตัว ขัดผิว บำรุงผิว ดังกล่าว จัดเป็นบริการพื้นฐานที่สปาแทบทุกแห่งต้องมี โดยเฉพาะการอบตัวประเภทอบเซาน่าและอบไอน้ำที่คนไทยนิยมมากในระยะหลังนี้

เวลา จินตนาการถึงสปา เราจึงมักนึกถึงห้องอบตัวจำพวกห้องเซาน่า ห้องอบไอน้ำ กับอ่างอาบน้ำใหญ่ๆ มีกลีบกุหลาบหรือลั่นทมหอมกรุ่นลอยฟ่องสำหรับแช่ตัวเพื่อผ่อนคลายมากกว่า อย่างอื่น แต่อันที่จริงแล้วบริการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมของสปาที่ได้มาตรฐานมีมากกว่า นั้นค่ะ

เป็น ต้นว่า มีแพทย์ทางเลือกประจำสปาเพื่อให้คำแนะนำด้านการดูแลรักษาสุขภาพที่ถูกต้อง รวมทั้งมีนักโภชนาการคอยให้คำปรึกษาด้านอาหารการกินที่เป็นประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นอาหารมีวิตามินแร่ธาตุครบถ้วน หรืออาหารพลังงานต่ำ กากใยสูงเพื่อควบคุมน้ำหนัก บางแห่งอาจจะเน้นการรับประทานอาหารแบบแมคโครไบโอติก หรือแม้กระทั่งอาหารแบบสปาคิวซีน (Spa Cuisine) ที่กำลังฮิตติดลมบนอยู่ยามนี้ด้วยซ้ำไป

ในทรีตเมนต์เรื่องความงามก็ จะต้องมีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญคอยอธิบายให้คำแนะนำต่างๆ ตอบข้อสงสัยแก่ผู้ใช้บริการได้ทุกอย่าง ไม่ใช่แค่ให้พนักงานนวดตัวทำตามโปรแกรมไปด้วยความเคยชิน เช่น ในเรื่องการทำสปาผิวหน้าซึ่งหมายถึงการทำความสะอาดและเสริมอาหารบำรุงให้ลึก ถึงผิวชั้นในนั้นมีวิธีการแบบไหนบ้าง อะไรจะได้ผลดีกว่ากันระหว่างการนวดมือ การบำบัดด้วยน้ำ หรือการใช้กระแสไฟฟ้า ซึ่งส่วนมากแล้วการทำสปาเพียงครั้งเดียวกับร่างกายและผิวพรรณโดยรวมมักจะไม่ ค่อยเห็นผลชัดเจนหรอกค่ะ ต้องไปทำซ้ำหลายครั้ง อย่างต่อเนื่องเป็นประจำ เหมือนกับการที่เราต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง สมบูรณ์

คนที่ยังไม่เคยใช้บริการสปาอาจมีคำถามว่าทำไมจะต้องไปเสีย เงินแพงๆ กับการอาบน้ำ นวดตัว บำรุงผิวพรรณมากมายขนาดนั้น เพราะบริการหลายอย่างในสปาก็ทำที่บ้านได้

ใช่ค่ะ! หากบ้านใครมีความพร้อมพอที่จะทำเองได้ขอสนับสนุนเต็มที่ บางบ้านอาจจะมีอ่างอาบน้ำอยู่แล้วก็ใช้ได้ บางบ้านหรูหน่อยอาจเป็นอ่างน้ำวนหรืออ่างจากูซี่

ยิ่งถ้ามีตู้อบ เซาน่าด้วยก็แจ๋วไปเลย เดี๋ยวนี้เขามีตู้อบตัวแบบสำเร็จรูปขายอยู่มากมาย ราคาก็ถูกลงกว่าเดิมมาก จะอบเช้าอบเย็นก็ลุยกันเต็มที่แบบไม่ต้องเกรงใจใคร

บางบ้านมีเด็กรับใช้ที่มีฝีไม้ลายมือเรื่องนวดตัวอยู่บ้างก็เจ๋งไปเลย

แบบนี้เขาเรียกว่าสปาที่บ้านหรือ " โฮมสปา " ค่ะ รายละเอียดจะทำให้สนุกได้ยังไงนั้นจะเล่าให้ฟังคราวหลัง

แต่ ถ้าหากท่านไม่สะดวกจะทำเองและอยากไปลองใช้บริการสปาดูก็ขอบอกว่า สิ่งที่ท่านจะได้จากบริการสปาทั้งหลายอย่างน้อยน่าจะมีองค์ประกอบ 4 R ด้วยกัน ได้แก่

1. Time to Rejoice
ได้รับความสดชื่นเบิกบานตั้งแต่เหยียบย่างเข้าไปในอาณาบริเวณของสปาผ่าน ประสาทสัมผัสทั้งห้า คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ซึ่งสปาทุกแห่งมักจะให้ความสำคัญกับการสร้างบรรยากาศของความสดชื่นเบิกบาน เพื่อให้ผู้ใช้บริการได้รับความเพลิดเพลินเจริญตาเจริญใจในความงดงาม สงบเงียบของสถานที่ ซึ่งอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมจรุงใจของไม้ดอกหอมนานาพรรณตามธรรมชาติหรือกลิ่นหอม บำบัด คลอด้วยเสียงดนตรีเบาๆ ไพเราะ ในอากาศเย็นฉ่ำ จากนั้นก็จิบเครื่องดื่มสมุนไพรรสดีก่อนจะเข้าสู่กระบวนการนวดหน้านวดตัว ขัดสีฉวีวรรณ

2. Time to Relax
ได้รับความผ่อนคลายจากการใช้บริการ ทำให้ความตึงเครียดลดลง คือไม่ว่าจะเข้าไปทำอะไรในสปาก็ตาม ในช่วงเวลาสั้นๆ แค่หนึ่งหรือสองชั่วโมงนั้น อย่างน้อยที่สุดท่านควรจะได้รับความรู้สึกผ่อนคลาย สบายตัว สบายใจ สมองที่เครียดเขม็งด้วยเรื่องปวดหัวสารพัดควรจะเบาสบายและโล่งขึ้น ถือว่าเป็นการพักผ่อนอย่างหนึ่ง

3. Time to Reflect เมื่อความตึงเครียดลดลงแล้ว ความกังวลใจในเรื่องต่างๆ ก็ย่อมมลายหายไปเป็นธรรมดา จากนั้นท่านก็จะล่วงเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งภวังค์ความเงียบสงบ มีสมาธิสูงสามารถนึกย้อนกลับไปถึงสิ่งแวดล้อมเก่าๆ ที่มีความสุขในอดีต ความทรงจำรำลึกในห้วงเวลาอันแสนสุขจะย้อนกลับมาสู่ภาวะจิตอันเงียบสงบได้ไม่ ยาก

4. Time to Revitalise
เติมพลังชีวิตใหม่ให้เข้มแข็งขึ้นจากจิตใจที่เป็นสุขในภวังค์แห่งความสงบตาม ธรรมชาติ เมื่อร่างกายแข็งแรงจิตใจเข้มแข็ง พลังชีวิตที่สมบูรณ์ย่อมเกิดแก่ทุกคน

เมื่อใดก็ตามที่รู้สึกอ่อนล้า อยากได้กำลังวังชากลับคืนมาพร้อมกับความรู้สึกผ่อนคลายสบายใจก็ลองไปใช้ บริการสปาดู แต่จะไปที่ไหนก็ควรดูให้แน่ใจเสียก่อนว่ามีบริการตามที่ต้องการหรือไม่

แม้องค์กรสปาระหว่างประเทศ (ISPA) จะจัดแบ่งสปาออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ถึง 7 กลุ่ม ด้วยกัน แต่สปาในไทยส่วนใหญ่แล้วมีเพียง 4 กลุ่ม หลักๆ ได้แก่

เดย์สปา โรงแรมและรีสอร์ตสปา เดสทิเนชั่นสปา และเมดิคอลสปา

เดย์สปา เป็นประเภทของสปาที่เปิดบริการมากที่สุดในเวลานี้ มักจะเน้นเรื่องความงามและการบำบัดให้คลายเครียดในเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่ชั่วโมง ไม่ต้องเข้าคอร์สปรับเรื่องโภชนาการ อาหารการกินหรือการออกกำลังกาย เป็นธุรกิจที่ขยายตัวค่อนข้างสูงในระยะ 5 ปี ที่ผ่านมา เนื่องจากใช้เงินลงทุนไม่มากเหมือนธุรกิจสปาประเภทอื่น อาจใช้อาคารสำนักงานหรือบริเวณบ้านที่ร่มรื่นดัดแปลงเป็นเดย์สปาได้ไม่ยาก มีโปรแกรมให้บริการช่วงเวลาสั้นๆ ตั้งแต่ 30 นาที ถึง 1-2 ชั่วโมง จึงมีลูกค้าหมุนเวียนมาใช้บริการในปริมาณมาก

เดย์สปาหลายแห่งมีจุด เด่นเรื่องทรีตเมนต์ความงาม นวดหน้า ขัดผิว อบตัว ซึ่งบางแห่งอาจมีเครื่องสำอางสมุนไพรเฉพาะของตัวเองไว้บริการ ส่วนการบำบัดคลายเครียดนั้นใช้ทั้งอโรมาเธอราปี้ในการนวดน้ำมันหอมระเหย และการนวดแผนไทยยืดเส้น

โรงแรม และ รีสอร์ตสปา มีกระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาคตามโรงแรมและรีสอร์ตใหญ่ๆ ในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ เชียงราย สมุย พัทยา หัวหิน ฯลฯ เน้นให้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ให้ความสำคัญกับการนวดตัวมากกว่าทรีตเมนต์เรื่องความงาม เพราะผู้ใช้บริการมักเป็นแขกโรงแรมและรีสอร์ต ซึ่งเป็นลูกค้าชั่วคราวที่ไม่มีโอกาสกลับมาใช้บริการซ้ำ ทรีตเมนต์ความงามนั้นจะได้ผลดีต้องใช้บริการซ้ำหลายๆ ครั้ง

เดสทิเนชั่นสปา หรือ รีทรีต สปา ในไทยมีตัวอย่างที่โด่งดังไปทั่วโลกคือ "ชีวาศรม" ซึ่งเป็นทั้งรีสอร์ตและสปาในเวลาเดียวกัน และยังเป็นสถานฟื้นฟูสุขภาพที่ได้รับการยอมรับ ยกย่องชื่นชมจากนานาชาติ ขึ้นชั้นสปาระดับสุดยอดของโลกแห่งหนึ่ง มีการใช้วารีบำบัดมาช่วยฟื้นฟูสุขภาพควบคู่ไปกับการฝึกโยคะ ขณะเดียวกันก็เข้มงวดเรื่องอาหารการกิน ในการฟื้นฟูสุขภาพต้องปรับโภชนาการใหม่ เน้นการรับประทานผักสด ผลไม้สด เนื้อปลา งดเนื้อสัตว์ใหญ่ งดบุหรี่-แอลกอฮอล์

เมดิคอลสปา
เป็นที่นิยมในต่างประเทศมานานแล้ว แต่เพิ่งได้รับความนิยมในไทย โดยพัฒนาจากสปาเพื่อความงามมาเป็นสปาเพื่อสุขภาพและการบำบัดรักษาสำหรับ กลุ่มที่ต้องการรักษาหรือบำบัดสุขภาพควบคู่ไปกับการรักษาโรค โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงาน ผู้สูงอายุ และกลุ่มผู้เกษียณจากการทำงาน เป็นหลัก ทั้งนี้ เมดิคอลสปาจะผสมผสานองค์ความรู้ระหว่างการแพทย์ที่ทันสมัยแบบตะวันตก กับศาสตร์ทางการแพทย์แบบตะวันออก เพื่อเสริมสร้างการดูแลรักษาสุขภาพแนวใหม่ เน้นแก้ปัญหาที่ต้นเหตุของการเกิดโรค ตลอดจนการรู้จักดูแลตนเอง เลือกใช้ศาสตร์ที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายในกรณีที่มีโรคประจำตัว โดยอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เฉพาะทาง เมดิคอลสปาที่เปิดบริการในไทยมักเป็นส่วนหนึ่งของคลีนิคเอกชนหรือในโรง พยาบาลขนาดใหญ่ เช่น "เอส เมดิคัล สปา" เมดิคอลสปาที่โรงพยาบาลวิภาวดี และ โรงพยาบาลนครธน เป็นต้น

มีตัวเลขที่อยากบอกให้รู้ว่า ผู้ที่ไปใช้บริการสปาถึง 90% เป็นผู้หญิงค่ะ ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยที่ทรีตเมนต์เรื่องความงามของสปาจึงเป็น แรงดึงดูดที่สำคัญกว่าอย่างอื่น ให้คุณสาวๆ ควักกระเป๋าออกมาใช้จ่ายเพื่อเสพสุขในโลกแห่งสปาโดยไม่รู้สึกเสียดมเสียดาย อะไรนัก

เท่าที่ศึกษาค้นคว้ามา พบว่า ทรีตเมนต์ความงามของสปาที่ได้รับความนิยมในหมู่คุณผู้หญิงมี 5 แบบ ด้วยกัน คือ

1. Aroma Steam หรือ Herbal Steam เป็นการ กระตุ้นร่างกายด้วยความร้อนเพื่อให้รูขุมขนในร่างกายเปิดกว้างพร้อมที่จะขับ สารพิษออกมากับเหงื่อ วิธีการนี้ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะขั้นตอนง่ายไม่ซับซ้อน ทำเองโดยไม่ต้องพึ่งพาพนักงานก็ได้ ขอแค่ให้มีอุปกรณ์เครื่อง sauna พร้อมเท่านั้น

2. Scrub
คือการกระตุ้นระบบการหมุนเวียนของเลือดด้วยการขัดผิวด้วยพืชพรรณจากธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นพืชสมุนไพรหรือผลิตภัณฑ์จากท้องทะเลจำพวกเกลือทะเล สาหร่าย ฟองน้ำเพื่อขจัดเซลล์ผิวหนังที่เสื่อมสภาพให้หลุดออกไป เซลล์ผิวใหม่จะได้ขึ้นมาทดแทน วิธีสครับนี้จะช่วยให้สุขภาพผิวดีขึ้น ผิวพรรณนุ่มเนียน สีผิวสวยสม่ำเสมอ

3. Body Wrap
หมายถึง การห่อร่างกายด้วยผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่มีสรรพคุณพิเศษ เช่น สาหร่ายทะเล หรือโคลนทะเล สมุนไพรบางชนิด การห่อหุ้มร่างกายนี้เป็นส่วนหนึ่งของขั้นตอนในการดูแลฟื้นฟูสภาพผิวไปพร้อม กับการช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของเนื้อตัว ระหว่างที่ห่อร่างกายด้วยโคลนหรือสมุนไพร อุณหภูมิภายในจะสูงขึ้น จึงเปิดรูขุมขนให้กว้างเพื่อขับของเสียออกจากร่างกายได้สะดวก ช่วยให้ร่างกายสงบและผ่อนคลายอย่างลึกล้ำ

4. Hydro Therapy
คือกระบวนการบำบัดด้วยน้ำ โดยใช้อุณหภูมิร้อน-เย็นของน้ำเป็นเครื่องมือบำบัด สปาบางแห่งอาจให้นอนแช่ในอ่างที่ผสมน้ำมันหอมระเหยและเกลือแร่ธรรมดา (Aroma Bath) บางแห่งให้นอนแช่ในอ่างที่โรยกลีบดอกไม้ไว้เต็ม (Floral Bath) แล้วหยดน้ำมันหอมระเหยกับเกลือแร่ลงไปผสม วิธีแช่ตัวแบบนี้จะช่วยให้จิตใจผ่อนคลายได้ดี

นอกจากนั้น ยังมีการอาบน้ำที่เรียกว่า Swiss shower คือยืนอาบน้ำร้อนสลับกับน้ำเย็นที่พุ่งออกมาจากฝักบัวพร้อมกัน 8-10 จุด ทั่วร่างกาย เพื่อกระตุ้นให้เกิดการหมุนเวียนของโลหิต และการอาบน้ำแบบ Vichy shower เป็นการบำบัดด้วยแรงดันน้ำ โดยให้นอนใต้แรงดันของน้ำที่พุ่งออกมากระทบร่างกาย ช่วยเปิดรูขุมขนเพื่อให้สมุนไพรต่างๆ ที่นำมาพอกตัวภายหลังสามารถซึมเข้าสู่ผิวหนังชั้นในได้ดีขึ้น การอาบน้ำแบบนี้นอกจากจะช่วยให้ผ่อนคลายหายเครียดแล้วยังลดอาการปวด เมื่อยกล้ามเนื้อได้ด้วย

5. Body Massage
การนวดร่างกาย เป็นทางเลือกยอดนิยมของการไปสปา ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายได้ดีเยี่ยม จัดเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่ช่วยให้ขั้นตอนอื่นๆ ที่กล่าวมาได้ผลสมบูรณ์ โดยสปาแต่ละแห่งจะมีรูปแบบการนวดต่างกันไป แต่หลักๆ มีสองอย่างคือ นวดแผนไทยกับนวดบำบัด "อโรมา" ด้วยน้ำมันหอมระเหยกลิ่นต่างๆ

ถึงบรรทัดนี้คงรู้แล้วใช่ไหมคะว่า เมื่อไหร่จึงควรจะไปสปา...

ที่มา : ผู้หญิงน่ะค๊ะดอทคอม

‘กลิ่น’ ที่มีมากกว่าความหอม

Wednesday, August 19, 2009

อยากรู้มั้ยว่ากลิ่นหอมแสนโปรดของคุณนั้น มีประโยชน์อะไรกับเราบ้าง

ยูคาลิปตัส
(Eucalyptus) บรรเทาอาการหลอดลมอักเสบ บรรเทาอาการหอบหืด และช่วยฆ่าเชื้อ

โรสแมรี่ (Rosemary) บรรเทาอาการหลอดลมอักเสบ อาการติดเชื้อในลําคอ ทอนซิลอักเสบ และช่วยกระตุ้นให้ผิว มีชีวิตชีวา พร้อมกับบรรเทาการเกิดริ้วรอย

ต้นชา (Tea Tree) บรรเทา อาการหลอดลมอักเสบ อาการติดเชื้อในลําคอ และต่อมทอนซิลอักเสบบรรเทาอาการหวัด บรรเทาอาการอักเสบของสิว อาการอักเสบจากแมลงสัตว์กัดต่อย และฆ่าเชื้อโรค ช่วยทําให้ผ่อนคลาย และทําให้อากาศบริสุทธิ์สดชื่น

ไทม์
(Thyme) บรรเทาหลอดลมอักเสบ และช่วยกระตุ้นให้ผิวมีชีวิตชีวา

ไซเพรส (Cypress) บรรเทาอาการหอบหืด

ไพน์ (Pine) บรรเทาอาการหอบหืด บรรเทาอาการหวัด และช่วยทําให้รู้สึกผ่อนคลาย

เลมอน (Lemon) บรรเทาอาการหวัด ฆ่าเชื้อ ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย และทําให้อากาศบริสุทธิ์

ลาเวนเดอร์
(Lavender) ลดความเครียด ช่วยกระตุ้นให้ผิวมีชีวิตชีวา และบรรเทาการเกิดริ้วรอย

กุหลาบ
(Rose) ลดความเครียด และช่วยให้ผิวกระชับ

เจเรเนียม
(Geranium) บรรเทาอาการอักเสบของสิว และช่วยกระตุ้นให้ผิวมีชีวิตชีวา

มินต์ (Mint) ช่วยกระตุ้นให้ผิวมีชีวิตชีวา

ส้มเกรปฟรุต (Grapefruit) ช่วยให้รู้สึกสบาย ผ่อนคลาย และทําให้หลับฝันดี

สวีทออเร้นจ์
(Sweet Orange) ทําให้หลับฝันดี

กระดังงา
(Ylang Ylang) ช่วยให้ผิวกระชับและทําให้หลับฝันดี

เบอร์กามอต (Bergamot) บรรเทาอาการอักเสบของสิว และการเกิดริ้วรอย พร้อมกับช่วยให้ผิวกระชับ

ตะไคร้หอม (Citronella) บรรเทาอาการอักเสบจากแมลงสัตว์กัดต่อย

ที่มา : ผู้หญิงน่ะค๊ะดอทคอม

ผ่อนคลายเท้าตามราศีเกิด

Tuesday, August 18, 2009

ดูเหมือนจะระบาดไปทั่วบ้านทั่วเมืองแล้ว สำหรับ "สปาเท้า" เพราะไม่ว่าจะย่างก้าวไปทิศทางไหนของกรุงเทพฯ ก็มักจะได้กลิ่นน้ำมันหอมระเหย ส่งกลิ่นโชยมาแตะจมูก ชวนให้หันไปมองหาเจ้ากลิ่นหอมชื่นใจเหล่านี้ทุกครั้ง

ก็ แหม...การนวดเท้า หรือการทำสปาเท้า นับว่าเป็นการผ่อนคลายอารมณ์ ปลดปล่อยความเครียดได้อย่างดีทีเดียว เพราะเท้าเป็นอวัยะที่ต้องทำงานอย่างหนักหน่วง และเป็นศูนย์รวมปลายประสาทของอวัยวะ 62 จุด ที่ส่งผลต่อการทำงานของอวัยวะอื่นๆ ในร่างกาย การทำสปาเท้าจึงเหมือนกับการดูแลสุขภาพทั้งร่างกาย ทั้งยังผ่อนคลายด้วยกลิ่น และขั้นตอนที่ใช้สมุนไพรที่สารสกัดจากธรรมชาติอีกด้วย

แต่ หนุ่มๆ สาวๆ ที่หลงรักการทำสปาเท้า เคยรู้กันบ้างหรือเปล่า ว่าน้ำมันสมุนไพรที่นำมานวดเท้าของเรานั้น ควรจะนำมาใช้ให้ถูกกับ "ธาตุทั้ง 4" ของแต่ละคนด้วย เพราะน้ำมันที่นำมาใช้นั้น จะช่วยบำรุงสุขภาพของผู้ที่ทำสปาเท้าได้ดียิ่งขึ้นด้วย ซึ่งธรรมชาติ เดย์ สปา ของโรงแรมโนโวเทล กรุงเทพฯ สยามสแควร์ รังสรรค์ขึ้น

เริ่มจากคนธาตุน้ำ จะเป็นคนที่เกิดระหว่างวันที่ 16 กรกฎาคม-16 สิงหาคม/16 พฤศจิกายน-15 ธันวาคม และ 12 มีนาคม-12 เมษายน น้ำมันที่ใช้จะเน้นส่วนผสมของขิง ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายและระบบประสาทแข็งแรง ปลอดโปร่ง เลือดไหลเวียนสะดวก ทำให้รู้สึกสดชื่นคล่องตัว

คนธาตุไฟ คือ คนที่เกิดระหว่างวันที่ 13 เมษายน-13 พฤษภาคม/17 สสิงหาคม-16 กันยายน และ 16 ธันวาคม-13 มีนาคม น้ำมันที่ใช้เน้นส่วนผสมของโรสแมรี่และดอกมะลิ ซึ่งจะช่วยให้จิตใจสงบ นอนหลับสบาย ผ่อนคลายความกังวลและความตึงเครียด จากภาวะสังคมในปัจจุบัน

คนธาตุลม คือ คนที่เกิดระหว่างวันที่ 15 มิถุนายน-15 กรกฎาคม/17 ตุลาคม-15 พฤศจิกายน และ 13 กุมภาพันธุ์-13 มีนาคม น้ำมันที่ใช้จะเน้นส่วนผสมของโรสแมรี่และมะกรูด ซึ่งช่วยในเรื่องระบบหมุนเวียนเลือดให้สมดุล สร้างความกระปรี้กระเปร่าให้ร่างกาย พร้อมรับวันใหม่ได้ดียิ่งขึ้น

ปิดท้ายกันด้วยคนธาตุดิน คือคนที่เกิดระหว่างวันที่ 14 พฤษภาคม-14 มิถุนายน/17 กันยายน-16 ตุลาคม และ 14 กรกฎาคม-12 กุมภาพันธุ์ น้ำมันที่ใช้จะเน้นส่วนผสมของลาเวนเดอร์ ซึ่งจะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และช่วยในเรื่องระบบไหลเวียนของเลือดด้วย

สำหรับการทำสปาแบบ ง่ายๆ ที่บ้านนั้น เราก็มีวิธีมาแนะนำกันด้วย เริ่มจากการแช่เท้าด้วยสมุนไพร เช่น มะกรูด ตะไคร้ ขมิ้น และเกล็ดเกลือคริสตัลบริสุทธิ์จากทะเลสาบเดดซี ผสมผสานกับน้ำมันอโรมา ที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุกว่า 40 ชนิด และไลปิดฟิล์มช่วยปกป้องผิวจากมลภาวะ ให้ความชุ่มชื้น กลิ่นหอมสดชื่น ให้ความรู้สึกกระปรี้กระเปร่า กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต และขจัดสิ่งสกปรกตกค้าง

ซึ่งการขัด เท้าด้วยเกลือหอม จะช่วยให้ผิวเท้าดูเนียน พร้อมรักษาแผลเป็นและลดรอยด่างดำ ส่วนการพอกด้วยโคลน เพื่อเติมแร่ธาตุและเพิ่มความนุ่มให้ผิวเท้า ก่อนจะปิดท้ายด้วยขั้นตอนการนวดด้วยน้ำมันอโรมาตามธาตุทั้ง 4 อย่างที่เราแนะนำข้างต้น

ที่มา : ผู้หญิงน่ะค๊ะดอทคอม

ล้างพิษ ทางเลือกของการคืนสมดุลให้ร่างกาย

Monday, August 17, 2009

ร่างกายของเราสกปรกจริงหรือ? นั่นคือสิ่งที่มักจะถูกถามทุกครั้งที่มีการพูดถึงการล้างพิษ หรือ detoxifying ขึ้นมา

กระแส นิยมการล้างพิษในบ้านเรา เพิ่งเริ่มมาได้ไม่กี่ปีให้หลังนี้ หลังจากที่ความห่วงใยใส่ใจสุขภาพกลายเป็นเทรนด์ฮิตของคนรุ่นใหม่ ไม่เพียงแต่การควบคุมอาหารที่เชื่อว่ามีความเสี่ยงต่อการทำให้เกิดโรคมะเร็ง เท่านั้น แต่คนรุ่นใหม่ยังตระหนักถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาเสพ และรับประทานเข้าไปตลอดชีวิตที่ผ่านมาด้วย ในแง่ที่สิ่งเหล่านั้นจะสั่งสมเป็นของเสียที่หมักหมมในร่างกาย

เช่น เดียวกับการที่มักจะเสียเวลามากมายไปกับการอาบน้ำ ซักเสื้อผ้า ถูบ้าน ทำความสะอาดรถยนต์ ฯลฯ คนรุ่นใหม่เริ่มหันมามอง “ภายใน” ร่างกายตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น กระแสโลหิต ตับ ไต ไส้ พุง ฯลฯ ว่า “สะอาด” เพียงพอแล้วหรือยัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ใช้ชีวิตแบบ “หนักหนา” ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นคนที่สูบบุหรี่ ดื่มสุรา หรือว่า รับประทานจังค์ฟู้ด หรืออาหารขยะ อาหารไขมันสูง หรืออาหารที่ถูกมองว่า “ไม่ดี” ต่อสุขภาพทั้งหลาย ก็เริ่มวิตกกังวลว่า ภายในร่างกายของพวกเขาจะเต็มไปด้วยสิ่งสกปรกที่สะสมอยู่ และของเสียเหล่านั้นจะมาทำอันตรายสักวันใดวันหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อร่างกายของพวกเขาเกิดอ่อนแอลง

ร่างกายของเราสกปรกจริงหรือ?

แน่ นอนล่ะ ร่างกายของเราเต็มไปด้วยเชื้อโรคจำนวนมากมาย โดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรียทั้งหลายที่อาศัยอยู่โดยที่เรามองไม่เห็น ซึ่งปกติแล้วร่างกายของเราจะมีวิธีการควบคุม และกำจัดแบคทีเรียตัวร้ายออกไปจากสารบบที่จะเป็นพิษภัยต่อร่างกายของเราอยู่ แล้ว ทว่าเมื่อใดที่ร่างกายของเราเกิดความไม่สมดุล เราอาจจะแสดงออกมาด้วยการปวดศีรษะ ปวดท้อง หรือเหน็ดเหนื่อยอย่างไร้สาเหตุ นั่นแหละ คืออาการที่เจ้าเชื้อโรคต่างๆ ออกมาสำแดงฤทธิ์เดชของมันให้เห็น หากเราวางเฉย ไม่สนใจต่อสัญญาณเตือนภัยที่ร่างกายส่งออกมา อาจจะทำให้สารพิษที่สั่งสมกลายเป็นปิศาจร้ายออกมาเล่นงานเราอย่างหนักก็ได้ สักวันหนึ่ง

หลายคนเชื่อว่า การล้างพิษก็ไม่ต่างกับการไปนั่งสมาธิให้จิตใจบริสุทธิ์ โดยเป็นการทำให้ร่างกายบริสุทธิ์ผุดผ่องสะอาดสะอ้าน ปราศจากเชื้อโรคร้ายๆ คล้ายการกลับคืนสู่วันที่ยังอ่อนเยาว์อีกครั้ง โดยนอกจากจะช่วยให้มีสุขภาพดีขึ้นแล้ว ยังเป็นการคืนสมดุลให้กับระบบต่างๆ ในร่างกาย เฉกเช่นการรีเฟรช หรือรีสตาร์ตเครื่องคอมพิวเตอร์ใหม่ เพื่อจัดเรียงข้อมูลให้ใช้งานได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นก็ไม่ปาน โดยเชื่อยิ่งไปกว่านั้นอีกว่า หลังจากที่ร่างกายได้ผ่านการล้างพิษแล้ว จะช่วยให้สามารถดูดซับสารอาหาร วิตามิน รวมทั้งอาหารเสริมที่มีคุณค่าต่อร่างกาย ตุนไว้ต่อสู้กับสารพิษครั้งใหม่ได้ดียิ่งขึ้น

ล้างพิษได้หลายวิธี

ใน นิตยสารชีวจิต ฉบับปักษ์หลังเดือนเมษายน เพิ่งจะเขียนถึงสารพันวิธีการล้างพิษไป โดยได้รวบรวมเอาไว้ครบถ้วน (เผื่อผู้สนใจจะไปหาซื้อมาอ่าน) ไม่ว่าจะเป็น...

การล้างพิษด้วยการอดอาหาร


ทำ ได้ทั้งการดื่มแต่น้ำเปล่า รับประทานเฉพาะผลไม้ชนิดเดียว เป็นเวลา 1, 3, 7 หรือ 10 วัน แล้วแต่โปรแกรมที่ได้มา ทว่า ด้วยวิธีการนี้อาจจะส่งผลให้เกิดความโหยขึ้นได้ และจะเกิดอาการอ่อนเพลีย เครียด เนื่องจากไม่ได้รับประทานอาหารอย่างเหมาะสม ไม่เหมาะกับคนที่ต้องใช้สมองมากๆ เด็กๆ หรือสตรีมีครรภ์เป็นอย่างยิ่ง และเป็นวิธีการที่ทำได้ยาก

การล้างพิษด้วยการ “สวนกาแฟ”


เป็น ที่นิยมมากวิธีการหนึ่งในบ้านเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อ ดร.สาทิส อินทรกำแหง ได้เผยแพร่แนวคิดชีวจิตให้บ้านเรา ทำให้การล้างพิษด้วยการใช้กาแฟปริมาณ 800–1,500 ซีซี สวนเข้าไปในลำไส้ อันเป็นหลักการที่แพทย์มักใช้กับผู้ป่วยก่อนการผ่าตัด ซึ่งจะช่วยขจัดพิษที่คั่งค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่ และตัวกาแฟยังช่วยกระตุ้นให้ตับอ่อนหลั่งสารบางอย่างออกมากำจัดพิษที่หลง เหลืออยู่ออกจากร่างกายอีกด้วย

การล้างพิษด้วยการสวนล้างด้วยน้ำ


รู้จัก กันดีในชื่อของ Colonic หรือ Colon Hydrotherapy อันเป็นการสวนล้างลำไส้ใหญ่ด้วยน้ำบริสุทธิ์ ซึ่งเพิ่งมีการเปิดศูนย์ไฮโดรเฮลท์ อันเป็นศูนย์ที่ให้บริการด้านโคโลนิกครบวงจรในประเทศไทย


โคโลนิก เป็นกระบวนการล้างทำความสะอาดลำไส้ใหญ่ด้วยน้ำบริสุทธิ์ อันเป็นหลักการหนึ่งของการล้างพิษ กำจัดของเสียและสารพิษต่างๆ ออกจากร่างกาย ข้อดีของวิธีการนี้ก็คือ เป็นการล้างพิษอย่างนุ่มนวล ใกล้เคียงกับวิธีการธรรมชาติ เนื่องเพราะการใช้น้ำอันเป็นสิ่งที่นุ่มนวล และไม่แปลกปลอมของร่างกาย โดยนอกจากจะทำให้ลำไส้ใหญ่สะอาด และสามารถกลับมาใช้งานได้มีประสิทธิภาพในการขับของเสียออกจากร่างกายแล้ว น้ำบริสุทธิ์ที่ร่างกายดูดซึมเข้าไปในกระบวนการนี้ จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวพรรณ ทำให้ร่างกายสะอาด สมดุล ชุ่มชื้น และแข็งแรงขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีการล้างพิษในรูปแบบอื่นๆ เช่น การออกกำลังกายอย่างหนักให้เสียเหงื่อ การอบเซาน่า การพอกโคลน แช่เกลือ การใช้สมุนไพรต่างๆ ตามแพทย์แผนจีน ฯลฯ ซึ่งควรจะปรึกษาแพทย์ หรือผู้ที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านก่อนการตัดสินใจ โดยเฉพาะวิธีการทั้ง 3 ที่ว่ามาข้างต้น ซึ่งขัดกับการเดินทางสายกลาง อาจจะไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคหัวใจ เด็กๆ และสตรีมีครรภ์ ฯลฯ

รู้ได้อย่างไรว่าร่างกายต้องการล้างพิษ

คน จำนวนมากสามารถมีชีวิตอย่างปกติสุข และพึงพอใจในสุขภาพของตัวเองตลอดชีวิต โดยไม่เคยสัมผัสการล้างพิษ แต่หากว่าคุณมีความรู้สึกดังต่อไปนี้ และเริ่มจะอดรนทนไม่ได้ คุณอาจจะต้องพึ่งการล้างพิษเป็นทางเลือกใหม่ ให้รู้สึกสบายตัวขึ้น
- รู้สึกเหนื่อยหลังมื้ออาหาร และเวลาอื่นๆ อย่างไร้สาเหตุ
- อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ
- มีอาการแพ้ต่างๆ
- เกิดอาการคันที่เท้า ปวดตามข้อ และกล้ามเนื้อ
- บาดแผลหายยาก
- มีสิว ผดผื่นคัน แพ้ง่าย

นอกจากนี้ คนที่มีความเสี่ยงและสมควรที่จะได้รับการล้างพิษบ้าง เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องรอให้เกิดอาการข้างต้น เช่น
- ผู้ที่ดื่มกาแฟจัด
- มีพฤติกรรมรับประทานอาหารขยะ ไม่ว่าจะเป็น โดนัต มันฝรั่งทอด อาหารมันๆ ฯลฯ
- คนที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
- ผู้ที่ใช้ยาคุมกำเนิด รวมทั้งยาแก้ปวดต่างๆ

ล้างพิษคือหนึ่งทางเลือกเท่านั้น


การ ล้างพิษ คือ อีกหนึ่งทางเลือกที่เชื่อว่าจะช่วยให้ร่างกายรู้สึกดีขึ้น สดชื่น และสดใสขึ้นเท่านั้น หากจะเรียกว่าเป็นยาวิเศษ ก็คงจะเกินเลยจากความเป็นจริงไปสักนิด

ต่อข้อถกเถียงที่ว่า การล้างพิษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีการสวนล้างลำไส้ใหญ่ด้วยการสวนกาแฟ หรือน้ำบริสุทธิ์ นั้น เป็นวิธีการที่ค่อนข้าง “กระชาก” ความรู้สึกของร่างกายปกติ และเชื่อว่าร่างกายน่าจะมีวิธีจัดการขจัดของเสียออกได้เองตามธรรมชาติ แต่สำหรับผู้ที่เชื่อนั้น บอกว่า เราควรทำเพราะร่างกายของคนเราในปัจจุบัน ได้มีการรับของเสียเข้าไปมากเกินกว่าที่ร่างกายจะขจัดได้ด้วยตัวเอง ดังนั้น จึงต้องมีการกระตุ้น โดยวิธีที่ลอกเลียนแบบวิธีการทางธรรมชาติ ให้เกิดการขจัดของเสียทั้งหลายออกไปจากร่างกายเพื่อคืนความสมดุล

จากการสอบถามหลายคนที่เคยผ่านประสบการณ์การล้างพิษมาแล้ว ล้วนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “ทรมาน” แต่รู้สึกดีกับผลที่ได้รับ

อย่าง ไรก็ตาม การล้างพิษเป็นเทรนด์ตามแพทย์แผนใหม่ หรือ Alternative Medicine ซึ่งเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า แพทย์แผน “ทางเลือก” คราวนี้ ก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณเองว่า จะ “เลือก” หรือ “ไม่เลือก” (ดีกว่า)

ที่สำคัญที่สุด สำหรับคนที่ “เลือก” ก็คือ ควรที่จะ “เลือก” อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านดังกล่าว จึงจะรอดปลอดภัย

ที่มา : ผู้หญิงน่ะค๊ะดอทคอม

ความต่างที่ดูไม่ออก

Sunday, August 16, 2009

น้ำ 2 แก้วถูกวางอยู่บนโต๊ะ แก้วทั้งสองใบมีลักษณะเหมือนกัน และน้ำที่ถูกบรรจุก็ยังมีปริมาตรที่เท่ากัน ความใสของมันยากที่เราจะแยกแยะด้วยตาเปล่าออก น้ำสองแก้วถูกวางเปรียบเทียบกันเพื่อหาความแตกต่าง ระหว่างกัน แน่นอนหากไม่มีเครื่องมือเข้าช่วยเราจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าน้ำทั้งสองแก้ว มีความแตกต่างกันอย่างไร


น้ำแก้วแรกถูกนำมาจากแหล่งน้ำบริสุทธิ์บนยอดเขาอันแสนไกล และยากที่จะสามาถนำกลับมาได้ในเวลาเพียง 1-2 วัน

ส่วนแก้วที่ 2 ซื้อมาจากร้านค้าข้างบ้าน.....

แค่แหล่งที่นำมาก็เพียงพอที่จะบอกถึงความแตกต่างของน้ำทั้งสองแก้วนี้ได้

แต่ ถ้าให้ผมลองพิสูจน์ดื่มน้ำทั้งสองแก้วนี้ดู สมมุติว่าผมกำลังกระหายน้ำมากและในขณะนั้นมีน้ำวางอยู่สองแก้ว ผมไม่รู้เลยว่าทำไมต้องมีน้ำวางอยู่สองแก้ว และทั้งสองแก้วมันไม่เหมือนกันยังไง ผมอาจจะยกมันขึ้นมาดูตะกอน เพื่อให้แน่ใจว่าสะอาด

แต่แล้วผมคิดว่ายังไงผมก็ต้องยกมันขึ้นมา ดื่ม หนึ่งในแก้วใบใดก็ใบนึง ที่ผมคิดว่าสะอาดที่สุด และยากมากที่ผมจะรู้ว่าน้ำแก้วไหนดีที่สุด


คราวนี้ลองใหม่ ลองเอาน้ำที่ซื้อจากข้างบ้านใส่ลงไปในบรรจุภัณฑ์หรูหรา ดูแล้วสะอาดน่าดื่ม และน้ำที่หายากที่สุด นำมาใส่ในแก้วใสเก่าๆแทน แล้วนำไปวางไว้ที่เดิม ผมหิวน้ำ เดินมาเจอ....แน่นอนว่าน้ำถูกๆในภาชนะสวยหรูย่อมเป็นที่ดึงดูดก่อน และยิ่งผมไม่เห็นตระกอน และสิ่งแปลกปลอมด้วยแล้วนั้น น้ำในแก้วใบนี้ย่อมต้องถูกเลือกเป็นธรรมดา แต่น้ำที่ดี และหายากที่สุดกลับถูกมองข้ามไป.......


แต่ยังไงน้ำก็คือน้ำ ประโยชน์ของมันเท่ากัน

แต่ถ้าเปลี่ยนจาก”น้ำ”เป็น”คน”ล่ะ

ผมจะตัดสินเขาอย่างไร....................

หรือจะตัดสิน”อะไร”หรือ”ใคร”ในครั้งแรกที่ผมพบ

พ่อกับแม่สอนว่า...

Saturday, August 15, 2009

Dad&Mom taught me to recognize the worth of money but never let me to be greedy.
พ่อกับแม่สอนให้เรารู้จักค่าของเงิน แต่ไม่เคยสอนให้เราเป็นคนเห็นแก่เงิน

Dad&Mom taught me to economize but don't me to be stingy.
พ่อกับแม่สอนให้รู้จักอดออม ไม่ได้สอนให้เป็นคนขี้งก

Dad&Mom taught me to love myself but also share this love to other.
พ่อกับแม่สอนให้เรารู้จักรักตัวเอง แต่ต้องแบ่งปันความรักให้กับคนอื่นด้วย

Dad&mom have never taught me to surrender but didn't teach me only the way to get the win.
พ่อกับแม่ไม่เคยสอนให้เรายอมแพ้ และก็ไม่ได้สอนให้เรารู้จักแต่เอาชนะ

Dad&Mom taught me to be patiently but don't let someone bully ourselves.
พ่อกับแม่สอนให้เราอดทน แต่ต้องไม่ยอมให้คนอื่นมาข่มเหงรังแกได้

Dad&Mom taught me the attempt not to be a dogmatic girl.
พ่อกับแม่สอนให้เรามีความพยายาม ไม่ได้สอนให้เป็นคนดันทุรัง

Dad&Mom taught me to be gently not weakly.
พ่อกับแม่สอนให้เราอ่อนโยน หากแต่ต้องไม่อ่อนแอ

Dad&Mom have never taught me to look other down because every people has same status.
พ่อกับแม่ไม่เคยสอนให้เราดูถูกคน เพราะคนทุกคนเท่าเทียมกัน

Dad&Mom told me to keep my self-interest but don't forget the social's gain.
พ่อกับแม่สอนให้เรารู้จักรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง แต่ต้องไม่ลืมผลประโยชน์ของส่วนรวม

Dad&Mom want me to go forward but they always teach me the old tradition.
พ่อกับแม่สอนให้รักความก้าวหน้า แต่ก็ไม่เคยลืมที่จะบอกถึงประเพณีดีงามเก่า ๆ

Dad&Mom taught me to stand in my way but never violate other's liberty.
พ่อกับแม่สอนให้เราเป็นตัวของตัวเอง แต่ต้องไม่ละเมิดสิทธิของคนอื่น

Dad&Mom taught me to know the way to bring happiness into my my life but this must interrupt no one.
พ่อกับแม่สอนให้รู้จักแสวงหาความสุข หากแต่ต้องไม่เดือดร้อนใคร

Dad&Mom told me don't trust stranger easily but never teach me to be suspicious.
พ่อกับแม่สอนว่าอย่าไว้ใจใครง่าย ๆ แต่ไม่เคยสอนให้เราเป็นคนขี้ระแวง

Dad&Mom taught me to have creation not only imagination.
พ่อกับแม่สอนให้เรารู้จักคิดและฝัน แต่ต้องลงมือทำด้วย (ต้องเป็นสิ่งดี ๆ ด้วยนะ)

Dad&Mom taught me the belief not the foolishness.
พ่อกับแม่สอนให้รู้จักคำว่า "ศรัทธา" ไม่ใช่คำว่า "งมงาย"

Dad&Mom taught me to be brave not to be overconfident.
พ่อกับแม่สอนให้เราแข็งแกร่ง แต่ไม่แข็งกระด้าง

Dad&Mom have never taught me to be both of optimist and pessimist but they taught me to look in the real way it is.
พ่อกับแม่ไม่เคยสอนให้มองโลกในแง่ดีหรือร้าย หากแต่ต้องรู้จักมองในมุมที่มันเป็น

Dad&Mom taught me to know to confess but should know to improve and rectify, too.
พ่อกับแม่สอนให้เรารู้จักยอมรับ แต่ต้องรู้จักปรับปรุงแก้ไขด้วย

Dad&Mom taught me the gratitude but don't want me to mark for revenge.
พ่อกับแม่สอนให้เรากล้าหาญ ไม่ใช่บ้าบิ่น

Dad&Mom taught me the discipline but never forget to teache me to relax.
พ่อกับแม่สอนให้เรามีระเบียบวินัย แต่ต้องรู้จักโอนอ่อนผ่อนปรน
.
Dad&Mom taught me to keep tidy but they told me don't mind the dirt.
พ่อกับแม่สอนให้เรารักสะอาด แต่อย่ารังเกียจความสกปรก

Dad&Mom taught me to aspire but don't want me to be jealous.
พ่อกับแม่สอนให้เรารู้จักทะเยอทะยาน แต่ไม่เคยสอนให้เราเป็นคนขี้อิจฉา

Dad&Mom taught me about giving not only want me to get it but also want me to share to other.
พ่อกับแม่สอนเราเกี่ยวกับการ "ให้" ไม่ใช่เพียงต้องการให้เรารับ หากแต่ต้องรู้จัก "แบ่งปัน" ด้วยเช่นกัน

อบสมุนไพร "ล้างพิษ"

Friday, August 14, 2009

การอบ สมุนไพรเป็นการล้างพิษอีกวิธีหนึ่งที่ใช้กันมานานมากแล้ว คือการใช้ "ความร้อนบำบัด" นั่นเอง การอบสมุนไพรเป็นกรรมวิธีในการรักษาสุขภาพอนามัยแบบพื้นบ้าน เดิมที การอบสมุนไพรจะใช้ในหมู่สตรีที่คลอดลูกใหม่ๆ ชาวอีสานเรียกว่า "อยู่กรรม" ซึ่งจะต้องอาบน้ำร้อน ดื่มน้ำร้อนที่เป็นน้ำต้มสมุนไพร และนอนย่างไฟ บนแคร่ไม้ไผ่ที่ปูรองพื้นด้วยสมุนไพร เช่น ใบหนาด ใบเป้า นอกนั้นก็ใช้ในคนไข้ที่ประสบอุบัติเหตุหกล้ม รถชน ตกต้นไม้ ช้ำใน จะใช้วิธีการอบสมุนไพรโดยการย่าง เพื่อให้การสูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงร่างกายได้สม่ำ
เสมอ...

และการอบสมุนไพร ถือว่าเป็นการช่วยล้างพิษออกทางเหงื่อ ผิวหนังของคนเราจะเป็นส่วนที่กว้างที่สุด ดังนั้น การขับสารพิษส่วนเกินออกทางเหงื่อจึงได้ผลดีมาก เวลาที่ร่างกายทุกส่วนเกิดความร้อนขึ้นพร้อมกัน มันจะทำให้เส้นเลือดที่ผิวหนังขยายตัว เลือดก็จะพรั่งพรูกันขึ้นมาที่ผิวหนังเป็นจำนวนมาก พาเอาสารเคมีส่วนเกิน เช่น โซเดียม โปตัสเซียม หรือสารอื่นๆที่เรารับเข้าไปเกินความต้องการนั้น ถูกหลั่งออกมากับเหงื่อ และในเวลาเดียวกันนั้น นอกจากจะล้างพิษออกไปแล้ว เลือดที่มาเลี้ยงที่ผิวหนังมากขึ้น ยังช่วยนำพาสารอาหารที่ดีๆมาให้ผิวหนัง ผิวหนังจึงสวยขึ้นด้

การอบสมุนไพรมี 2 แบบ คือ การอบแห้ง (Sauna) คล้ายการอยู่ไฟ และการอบเปียก (Steam) ที่คนไทยนิยมมากในปัจจุบัน

1. การอบแห้ง เป็นวิธีการอบตัวที่พัฒนามาจากประเพณีไทยดั้งเดิม ซึ่งมีพิธีกรรมต่างๆที่รักษาขวัญกำลังใจสำหรับมารดาหลังคลอด มีการอาบน้ำต้มสมุนไพรและทาตัวด้วยขมิ้น เพื่อบำรุงรักษาอาการอักเสบที่ผิวหนัง และนิยมอยู่ไฟหลังคลอดด้วยการนอนบนแคร่ไม้ มีกองฟืนให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย และการใช้ความร้อนจากกองฟืนนั้นจะช่วยกระตุ้นให้มดลูกหดรัดตัว ช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้น มีการนำเตาถ่านมาใช้ประกอบการรักษาผิวพรรณและลดน้ำหนัก ลดไขมันส่วนเกิน ปัจจุบันมีการพัฒนาเป็นห้องอบแห้ง

2. การอบเปียก เป็นวิธีการอบตัวด้วยไอน้ำที่ได้จากการต้มสมุนไพร เป็นการบำบัดรักษาวิธีหนึ่ง ซึ่งเริ่มต้นจากประสบการณ์การนั่งกระโจมของหญิงหลังคลอด โดยใช้ผ้าทำเป็นกระโจม หรือนั่งในสุ่มไก่ที่ปิดคลุมไว้มิดชิด มีหม้อต้มสุมนไพรเดือดเป็นไอให้อบและสูดดมไอน้ำได้ และปัจจุบัน ได้นำเอาวิธีการเข้ากระโจมมาฟื้นฟูและพัฒนาให้เข้ากับชีวิตความเป็นอยู่สมัย ใหม่โดยทำเป็นห้องอบไอน้ำสมุนไพรที่ทันสมัยขึ้น ใช้หม้อต้มสมุนไพรที่มีท่อส่งไอน้ำเข้าไปภายในห้องอบ หรือทำเป็นตู้แล้วเข้าไปนั่งอบตัว ส่วนประกอบของสมุนไพรที่ใช้อาจแตกต่างกันได้ตามวัตถุประสงค์เพื่อรักษาอาการ ต่างๆ เช่น ทำให้การไหลเวียนโลหิตดีขึ้น ช่วยขยายหลอดลมและปอด ขับก๊าซเสียได้มากขึ้น ร่างกายสดชื่น ผิวพรรณเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล ช่วยขับเหงื่อ คลายความเครียด ผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่แข็งเกร็ง และลดอาการปวดตามข้อและกระดูก

การอบตัวด้วยความร้อนนับเป็นวิธีการที่ทางการแพทย์ในปัจจุบันยอมรับว่าสามารถช่วยให้การไหล
เวียน ของโลหิตและน้ำเหลืองบริเวณผิวหนังดีขึ้น ส่วนไอน้ำของสมุนไพรจะมีสรรพคุณตามคุณสมบัติของสมุนไพรนั้นๆ ซึ่งส่วนใหญ่ช่วยให้ร่างกายเกิดความสดชื่น

สมุนไพรที่ใช้ในการอบ

สมุนไพรที่ใช้ในการอบนั้นไม่จำกัดชนิด อาจเพิ่มหรือลดชนิดของสมุนไพรตามความต้องการใช้ประโยชน์ โดยยึดหลักสมุนไพรในการอบ 4 กลุ่ม ดังนี้

1. สมุนไพรที่มีกลิ่นหอม คือเป็นสมุนไพรที่มีน้ำมันหอมระเหย เช่น ไพล ขมิ้น ผิวมะกรูด ซึ่งให้ประโยชน์ในการรักษาโรคและอาการต่างๆ คือ อาการคัดจมูก ปวดเมื่อย และเวียนศีรษะ

2. สมุนไพรที่มีรสเปรี้ยว เช่น ใบมะขาม ใบและฝักส้มป่อย
ในสมุนไพรกลุ่มนี้จะมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ ช่วยชำระล้างสิ่งสกปรก บำรุงผิวพรรณ เพิ่มความต้านทานโรคให้แก่ผิวหนัง

3. สมุนไพรที่เป็นสารประกอบระเหิดได้เมื่อผ่านความร้อน มีกลิ่นหอม บำรุงหัวใจ เช่น การบูร พิมเสน ช่วยรักษาอาการหวัด คัดจมูก

4. สมุนไพรที่ใช้รักษาเฉพาะโรคและอาการ เช่น สมุนไพรแก้ปวดเมื่อยและบำรุงเส้นเอ็น ได้แก่ เถาวัลย์เปรียง ไพล เถาเอ็นอ่อน ใช้รักษาโรคผิวหนัง เช่น เหงือกปลาหมอเ ป็นต้น
สมุนไพรที่ใช้มี 2 ชนิด คือ สมุนไพรแบบสด และแบบแห้ง

ตัวอย่างสมุนไพรสด : พร้อมสรรพคุณ
ไพล สรรพคุณ แก้ปวดเมื่อย ครั่นเนื้อครั่นตัว
ขมิ้นชัน สรรพคุณ แก้โรคผิวหนัง สมานแผล
ขมิ้นอ้อย สรรพคุณ ใช้บรรเทาอาการฟกช้ำ บวมได้
ว่านนางคำ สรรพคุณ รักษาเม็ดผดผื่นคัน
ตะไคร้ สรรพคุณ ดับกลิ่นคาว บำรุงธาตุไฟ
ใบ - ผิวมะกรูด สรรพคุณ แก้ลมวิงเวียน
ใบหนาด สรรพคุณ แก้โรคผิวหนัง พุพอง น้ำเหลืองเสีย
ว่านน้ำ สรรพคุณ ช่วยขับเหงื่อ แก้ไข้
ใบมะขาม สรรพคุณ แก้อาการคันตามร่างกาย ช่วยให้ผิวหนังสะอาด
ใบส้มป่อย สรรพคุณ แก้หวัด แก้ปวดเมื่อย
ใบพลับพลึง สรรพคุณ แก้อาการฟกช้ำ เคล็ดขัดยอก บรรเทาอาการปวด บวม
กระชาย สรรพคุณ แก้ปวดเมื่อย ปากแตก เป็นแผล ใจสั่น
ใบเปล้าใหญ่ สรรพคุณ ช่วยถอนพิษ ผิดสำแดง บำรุงผิว
ผักบุ้งไทย สรรพคุณ ถอนพิษผื่นคัน
หัวหอมแดง สรรพคุณ แก้หวัด คัดจมูก
ตัวอย่างสมุนไพรแห้ง : พร้อมสรรพคุณ
เหงือกปลาหมอ สรรพคุณ แก้โรคผิวหนัง พุพอง
ชะลูด สรรพคุณ แก้ร้อนใน กระสับกระส่าย ดีพิการ
กระวาน สรรพคุณ แก้เจ็บตา ตาแฉะ ตามัว
เกสรทั้งห้า สรรพคุณ แต่งกลิ่น บำรุงหัวใจ
สมุลแว้ง สรรพคุณ แต่งกลิ่น

ตัวอย่าง
สูตรสมุนไพรที่ใช้อบเพื่อสุขภาพ ประกอบด้วย
1. ยอดผักบุ้ง จำนวน 5 ยอด
2. ใบมะกรูด จำนวน 3 - 5 ใบ
3. ใบมะขาม จำนวน 1 กำมือ
4. ใบส้มป่อย จำนวน 1 กำมือ
5. ต้นตะไคร้ จำนวน 3 ต้น
6. หัวไพล จำนวน 2 - 3 หัว
7. ใบพลับพลึง จำนวน 1 - 2 ใบ
8. ใบหนาด จำนวน 3 - 5 ใบ
9. ขมิ้น จำนวน 2 - 3 หัว
10. การบูร จำนวน 15 กรัม

สรรพคุณ ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยร่างกาย อาการวิงเวียนศีรษะ และช่วยในการไหลเวียนของโลหิต ช่วยบำรุงผิวพรรณ

หมายเหตุ

สำหรับสมุนไพรที่ใช้ในการรักษาโรคนั้นเราอาจนำเอาสมุนไพรบางชนิดเพิ่มลงไปเพื่อช่วยในการรักษาเฉพาะโรคได้ เช่น
- เหงือกปลาหมอ ใช้รักษาอาการคัน โรคผิวหนัง
- หอมหัวแดง เปราะหอม ใช้รักษาอาการหวัด คัดจมูก
- เถาวัลย์เปรียง เถาเอ็นอ่อน รักษาอาการปวดเมื่อย

กรณีอบสมุนไพรเองที่บ้าน

1. มีตู้อบสมุนไพรสำเร็จรูป ใช้สมุนไพรใส่หม้อต้มน้ำหรือหม้อหุงข้าวไฟฟ้า แล้วใช้ไอน้ำอบสมุนไพร ซึ่งในตู้อบสำเร็จรูปจะมีที่สำหรับให้ไอน้ำผ่านได้ดี และมีการระบายอากาศด้านบน (ศีรษะ)

2. ถ้าไม่มีตู้อบสมุนไพร จะใช้เป็นกระโจม โดยหาวัสดุที่มีอยู่มาดัดแปลงแล้วใช้ผ้าคลุม โดยมีที่ระบายอากาศ ใช้หม้อต้มที่สำหรับให้ไอน้ำเข้าสู่กระโจมอย่างทั่วถึง และระมัดระวังเรื่องน้ำร้อนลวกและระบบไฟฟ้า

มาตรฐานของห้องอบสมุนไพร

1. ขนาดห้อง กว้าง 1.9 เมตร ยาว 1.9 เมตร สูง 2.3 เมตร สามารถอบได้ครั้งละ 3-4 คน
2. พื้นและฝาผนัง ควรเป็นพื้นปูนขัดหน้าเรียบ ช่วยให้ง่ายต่อการทำความสะอาด
3. ประตูห้องควรปิดมิดชิด แต่ไม่มีการล็อคกลอนจากข้างใน อาจเจาะเป็นช่องกระจกที่สามารถมอง
จากภายในห้องได้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่ดูแลสามารถตรวจสอบความปลอดภัยได้
4. ควรมีห้องอบที่แยกให้บริการ สำหรับเพศหญิงและเพศชาย
5. อุปกรณ์สำหรับการอบสมุนไพรประกอบด้วย
- ม้านั่งยาว 1-2 ตัว
- เทอร์โมมิเตอร์ สำหรับวัดอุณหภูมิภายในห้องอบ อุณหภูมิระหว่างอบควรอยู่ระหว่าง 42- 45 องศา สามารถตรวจสอบอุณหภูมิได้ที่ภายนอกห้อง
- นาฬิกาจับเวลา สามารถตั้งเวลาได้
- เครื่องชั่งน้ำหนัก วัดความดันโลหิต ปรอทวัดไข้
- หม้อต้มน้ำไฟฟ้า ที่มีซึ้งตะแกรงเติมและเปลี่ยนถ่ายสมุนไพรได้สะดวก
- พัดลมดูดอากาศ
- หม้ออบสมุนไพร เป็นหม้อไฟฟ้า มีระบบควบคุมความปลอดภัย มีท่อสเตนเลสส์จากหม้อต้มส่งไปในห้องอบ และมีระบบควบคุมป้องกันไฟฟ้า ซึ่งมีระบบควบคุมไฟหม้อต้มที่สามารถอุ่นได้ เมื่อรอการใช้และปิดเปิดไฟอัตโนมัติ

ขั้นตอนการอบ

1. วัดความดันโลหิตก่อนทำการอบสมุนไพร
2. นำน้ำประพรมร่างกาย หรืออาบน้ำเพื่อชำระล้างสิ่งสกปรกที่อาจติดอยู่ตามรูขุมขน และเพื่อเป็นการเตรียมเส้นเลือดให้พร้อมต่อการยืดขยายและหดตัว แล้วแต่งกายด้วยเสื้อผ้าน้อยชิ้น
3. เข้าทำการอบ 2 ครั้ง ครั้งละ 15 นาที กรณีผู้ไม่เคยอบ ควรอบ 3 ครั้ง ครั้งละ 10 นาที
4. เมื่อครบจำนวนนาที ไม่ควรอาบน้ำทันที ต้องออกมานั่งพักให้เหงื่อแห้ง แล้วจึงอาบน้ำเพื่อชำระคราบเหงื่อไคลและสมุนไพร และช่วยให้เส้นเลือดหดตัวลงเป็นปกติ
5. เมื่อทำการอบจนครบขั้นตอนแล้วควรปฏิบัติดังนี้
- ชั่งน้ำหนัก วัดความดันโลหิต และดูว่าอาการดีขึ้นหรือไม่
- บันทึกการอบสมุนไพรไว้ทุกครั้งเพื่อประโยชน์ในการรักษาต่อเนื่องต่อไป

ประโยชน์ ของการอบสมุนไพร เกิดจากผลของไอน้ำ และผลของน้ำมันหอมระเหย และสารระเหยต่างๆ ในสมุนไพร ซึ่งซึมผ่านชั้นผิวหนังและเข้าไปกับลมหายใจ

- ร่างกายมีการเผาผลาญสารอาหารเพิ่มขึ้น
- มีการขยายตัวของเส้นเลือดฝอย
- การไหลเวียนโลหิตดีขึ้น ช่วยทำให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า แจ่มใส และทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล ดูมีเลือดฝาด
- ทำให้มดลูกของสตรีหลังคลอดเข้าอู่เร็วขึ้น
- ช่วยทำให้ร่างกายขับเหงื่อออกมากขึ้น ซึ่งจะช่วยชำระล้างและขับของเสียออกจากร่างกายทางผิวหนัง
- บรรเทาอาการปวดเมื่อย
- ผ่อนคลายกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น
- แก้อาการเหน็บชา
- ช่วยทำให้ทางเดินหายใจชุ่มชื้น ช่วยละลายเสมหะทำให้ขับออกมาได้ง่ายขึ้น บรรเทาอาการโรคภูมิแพ้
- ช่วยลดการอักเสบและบวมที่เยื่อบุของทางเดินหายใจตอนบน
- ช่วยลดการระคายเคืองในลำคอ

โรคหรืออาการที่สามารถบำบัดรักษาด้วยการอบสมุนไพร

- โรคภูมิแพ้
- โรคหอบหืดที่อาการไม่รุนแรง
- เป็นหวัด น้ำมูกไหล แต่ไม่แห้งคัน
- โรคที่ไม่ได้เป็นการเจ็บป่วยเฉพาะที่
- โรคอื่นๆ ที่สามารถใช้การอบร่วมกับการรักษาแบบต่างๆ
- เป็นการส่งเสริมสุขภาพ และมารดาหลังคลอด

ข้อห้ามในการอบสมุนไพร

- มีไข้สูง
- โรคติดต่อร้ายแรง
- โรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ หอบหืดระยะรุนแรง ลมชัก
- สตรีขณะมีประจำเดือน
- มีการอักเสบจากบาดแผลเปิดและแผลปิด
- อ่อนเพลีย อดอาหาร อดนอน หลังรับประทานอาหารใหม่
- ปวดศีรษะ ชนิดวิงเวียนศีรษะ และคลื่นไส้

ในปัจจุบันการอบสมุนไพร ได้มีการพัฒนาให้สามารถอบได้ทั้งตัว โดยการเข้ากระโจมที่มีหม้อต้ม สมุนไพรอยู่ในนั้นด้วย จะทำให้สามารถอบได้ทั้งตัว ความร้อนสม่ำเสมอ ไม่เพียงสตรีที่คลอดบุตรใหม่ หรือผู้ที่ได้รับอุบัติเหตุเท่านั้นที่นิยมอบสมุนไพร บุคคลทั่วไปที่ต้องการลดน้ำหนัก และต้องการทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งก็นิยมอบไอน้ำกันมาก

ปัจจุบันมีผู้คิดประดิษฐ์ตู้อบขึ้นมาแทนการเข้ากระโจมมากมายหลายแบบ โดยใช้หม้อหุงข้าวไฟฟ้าต้มสมุนไพรในตู้อบ ทำให้มีความสะดวกสบายในการใช้มากยิ่งขึ้น ท่านพิจารณาเลือกใช้เอาตามความเหมาะสมของตนเองนะครับ

ที่มา : หญิงไทย

ช่วยตัวเอง ! (ชาย)

Thursday, August 13, 2009

อย่าเพิ่งคิดว่า ช่วยตัวเองในที่นี้เป็นเรื่องอื่นไปเสียล่ะครับ แน่นอนอยู่แล้ว มันต้องเกี่ยวกับเรื่องเซ็กซ์ !

ช่วย ตัวเองในที่นี่ก็คือ Masturbation หรือการสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองนั่นแหละครับ เรื่องนี้ถ้าเป็นสมัยก่อนละก็ ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายจะต้องถูกห้ามปรามกันอย่างเด็ดขาดเลยทีเดียว ถ้าเป็นผู้ชาย ก็คือว่าเป็นการสูญเสียอย่างไร้ประโยชน์ครับ เพราะน้ำอสุจิที่สร้างขึ้นนี้ สร้างขึ้นเพื่อการสืบเผ่าพันธุ์เท่านั้น จะต้องนำไปใช้กับไข่ เพื่อดำรงพืชพันธุ์ของมนุษย์เอาไว้ จะมาสำเร็จความใคร่กันให้เสียน้ำอสุจิไปเปล่าๆ ปลี้ๆ น่ะไม่ได้หรอกคุณ

ส่วน ถ้าเป็นผู้หญิงยิ่งร้ายเข้าไปใหญ่ เพราะผู้หญิงไม่สมควรจะมานั่งคิดเรื่องพวกนี้ จะตกเบ็ดตกปลาอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ถ้าผู้หญิงมีอารมณ์ทางเพศมากหน่อย เธอก็อาจถูกกล่าวหาว่าเป็นโรคนั่นโน่นนี่ได้ พวกฝรั่งนี่แหละครับตัวดี มีการรักษาโดยใช้เตารีดร้อนๆ มานาบเข้าที่อวัยวะเพศด้วย เพื่อจะทำให้สาวๆ ลดกำหนัดในตัวลงไป

แต่สมัยนี้เปลี่ยนไปแล้วนะคุณ ไม่ต้องมานั่งกังวลอะไรมาก โดยเฉพาะผู้ชาย ซึ่งส่วนใหญ่การช่วยตัวเองก็เป็นไปด้วยวิธีการถูไถอวัยวะเพศเพื่อให้เกิดการ หลั่งน้ำอสุจิ เชื่อมั้ยครับ ว่าการช่วยตัวเองนั้น มักจะเป็นปฏิกิริยาทางเพศครั้งแรกของเด็กหนุ่ม และเป็นการกระทำทางเพศแบบท้ายๆ ในชีวิตของผู้สูงวัยที่เป็นผู้ชายเลยทีเดียว (โดยเฉพาะ คนที่คู่ชีวิตจากไปแล้ว) มันจึงอยู่กับเรามาตั้งแต่ต้นจนอวสานก็ว่าได้ แต่ถ้าเป็นผู้หญิงบางคนที่ไม่ได้มีคู่ การช่วยตัวเองอาจเป็นกิจกรรมทางเพศเพียงอย่างเดียวที่เธอรู้จักก็ว่าได้

เพราะ ฉะนั้น การ ‘ช่วยตัวเอง’ จึงเป็นเรื่องสำคัญเอาการเชียวนะคุณ ! ที่สำคัญ การช่วยตัวเองยังเป็นกิจกรรมทางเพศที่ไม่ต้องเสียเงิน ไม่เปลืองเนื้อเปลืองตัว ไม่ต้องเสี่ยงกับโรคหรือการจี้ปล้น ไม่ต้องเอาหัวใจไปเสี่ยงกับคู่นอน และอีกสารพัดข้อดี มาถึงสมัยนี้หลายคนเลยเห็นว่า การช่วยตัวเองเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ แถมหลายศาสนาก็ยังเห็นว่าแม้จะยังเป็นบาป แต่ก็เป็นบาปเบา หรือเป็นบาปที่ยกโทษให้ได้

สำหรับ หนุ่มๆ การช่วยตัวเองคงเป็นเรื่องที่คุณเรียนรู้กันมาตั้งแต่เข้าวัยรุ่นแล้วใช่ มั้ยล่ะครับ เพราะถือเป็นขั้นตอนการสำรวจตัวเองอย่างหนึ่งเมื่อร่างกายเปลี่ยนแปลงไป หลายคนช่วยตัวเองโดยใช้มือ หรือการถูไถกับหมอนข้างหรือที่นอน โดยอาจมีเครื่องช่วย อย่างเช่นหนังสือโป๊หรือหนังโป๊ทั้งหลาย

ว่า กันว่า เด็กผู้ชายนั้นจะเริ่มเล่นอวัยวะเพศของตัวเองกันมาตั้งแต่อายุ 6-7 ปี ส่วนเด็กผู้หญิงจะเล่นอวัยวะเพศของตัวเองในช่วงอายุ 10-11 ปี และเมื่อโตขึ้น ก็มีผู้ชายถึง 45-55% ที่ช่วยตัวเองเป็นประจำ ขณะที่ผู้หญิงมีมากถึง 40-60% เลยทีเดียวครับ

การช่วยตัวเองที่ว่านี้ จะมีมากในช่วงวัยรุ่น แต่พอโตขึ้น เริ่มหาความสุขทางเพศกับวิธีอื่นๆ ได้มากขึ้น ก็จะช่วยตัวเองน้อยลง หรือไม่บางคนก็เริ่มชิน และมีกิจกรรมอื่นๆ ในชีวิตมากขึ้น ทำให้ลดการช่วยตัวเองลง ถ้าถามว่า แล้วควรช่วยตัวเองมากแค่ไหน คำตอบก็คือแล้วแต่ตัวคุณ แต่ต้องไม่ให้มากจนเกินไป ถ้ามากขนาดวันละสามสี่ครั้งขึ้นไป ต้องถือว่าไม่เป็นผลดี เพราะหมกมุ่นกับการช่วยตัวเองมากจนขาดสมดุลในชีวิต ถ้าคุณมีคู่แล้ว บางครั้งการช่วยตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย บางคู่ก็ใช้การช่วยตัวเอง ช่วยกันและกันเพื่อกระตุ้นกันก่อนในทำนอง Foreplay เพื่อเรียกน้ำย่อยก่อนที่จะมีอะไรกัน แถมยังมีประโยชน์อีกหลายอย่าง อย่างเช่นการฝึกให้หลั่งช้า หรือในผู้หญิงก็ช่วยรักษาโรคไม่ถึงจุดสุดยอดได้ด้วย ในผู้ชายบางคนที่มีอาการนกเขาไม่ขัน ก็ใช้การช่วยตัวเองช่วยให้เตะปี๊บดังขึ้นมาได้อีกครั้งด้วยเช่นกัน

ถ้าช่วยตัวเองได้ ก็ช่วยตัวเองไปก่อนแล้วกันครับ !

ที่มา : จีเอ็ม

สปามือและเท้า

Wednesday, August 12, 2009

มาสก์ หน้าจนสวยใสไร้ริ้วรอยแล้วจะยอมปล่อยให้มือไม้ไร้ชีวิตชีวาได้อย่างไร สละเวลาเพียงแค่ 60 นาทีเพื่อปรนนิบัติมือและเท้าให้นุ่มนวลชวนมองน่าสัมผัสกันเถอะ


ก่อน อื่นล้างยาทาเล็บเก่าที่ติดอยู่บนเล็บทิ้งเสียก่อน โดยใช้สำลีชุบน้ำยาล้างเล็บแตะปลายเล็บทิ้งไว้สักพักแล้วลูบออก แต่ไม่ต้องถึงขั้นขัดถูเล็บรุนแรงมากจนเกินไป หลังจากนั้นตะไบเล็บให้ได้รูปสวยตามต้องการ และควรตะไบไปในทางเดียวกัน ไม่ควรตะไบย้อนกลับไปกลับมา ส่วนจะเลือกตัดหรือตะไบเป็นแบบปลายตัดตรงหรือแบบปลายแหลมก็ได้ทั้งนั้น แต่ขอบอกว่าตอนนี้แบบที่กำลังฮิตติดใจกันอยู่เป็นแบบเล็บสั้นปลายตัดตรง


หลัง จากนั้นแช่ทั้งเล็บมือและเล็บเท้าในน้ำนมผสมน้ำอุ่นสัก 10 นาทีด้วยส่วนผสมน้ำอุ่น 2 ส่วนต่อนมอุ่น 1 ส่วน เนื่องจากน้ำนมอุ่นๆ นี้จะเป็นตัวช่วยให้เซลล์หนังกำพร้าที่หยาบกร้านนุ่มนวลลง ทำให้ง่ายต่อการขจัดเซลล์หนังกำพร้าเหล่านี้ออกไป ระหว่างแช่ก็เหยาะน้ำมันมะกอกลงไปด้วยสัก 5-6 หยด แต่ถ้าเป็นคนที่มีเหงื่อออกค่อนข้างมากบริเวณมือและเท้าควรหลีกเลี่ยงการแช่ น้ำนม โดยอาจเปลี่ยนเป็นแช่ในน้ำอุ่นผสมน้ำมันมะกอกสัก 5-6 หยดแทน


ลำดับ ต่อมาจึงใช้ผลิตภัณฑ์ขจัดผิวหยาบกร้าน กรณีที่ส้นเท้าค่อนข้างกร้านอาจขัดด้วยหินภูเขาไฟเบาๆ แต่ไม่แนะนำให้ใช้หินขัดหรือตะไบส้นเท้าเกินเดือนละ 2 ครั้ง เพราะถ้าหากผิวถูกเสียดสีกับของแข็งบ่อยๆ จะยิ่งเพิ่มการผลิตตัวที่หนาขึ้นกว่าปกติ หลังจากนั้นให้อบมืออบเท้าในผ้าอุ่นๆ สัก 1-2 นาที แล้วลงน้ำมันบำรุงผิวหรือมอยส์เจอไรเซอร์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น


เมื่อ เล็บสวยดูสุขภาพดีสมใจแล้ว ทีนี้จะแต่งเติมสีสันหรือลวดลายอะไรก็เต็มที่ได้เลย แต่ต้องทารองพื้นเล็บด้วยเบสโค้ตเสมอ นอกจากเป็นการป้องกันเล็บจากน้ำยาแล้ว เวลาล้างออกจะได้ล้างง่ายยิ่งขึ้นด้วย หลังจากนั้นทาเล็บโดยเริ่มแต้มบางๆ ที่ปลายเล็บก่อน เพราะเป็นส่วนที่สีจะลอกออกง่ายที่สุด จากนั้นจึงเริ่มทาจากโคนเล็บขึ้นมา


เมื่อ ทาเสร็จเราอาจใช้ไม้พันสำลีก้านเล็กๆ หรือคอตตอนบัดแตะน้ำยาล้างเล็บ ค่อยๆ เช็ดรอบๆ เล็บ แล้วจึงค่อยลงน้ำยาเคลือบสีเล็บหรือท็อปโค้ต และถ้าอยากให้สีสันติดทนนานๆ ควรลงน้ำยาเคลือบสีเล็บวันเว้นวัน จะช่วยปกป้องสีเล็บไม่ให้หลุดลอกไปได้ทั้งสัปดาห์เลยทีเดียว

ที่มา : ผู้หญิงน่ะค๊ะดอทคอม

การขลิบ

Tuesday, August 11, 2009

การขลิบหนังหุ้ม ปลายอวัยวะเพศ (Circumcision) นั้น ประมาณกันว่า 1 ใน 4 ของผู้ชายทั่วโลกได้รับการขลิบ โดยในสหรัฐอเมริกาผู้ชายร้อยละ 80 ขลิบ ส่วนในสวีเดนมีผู้ชายเพียงร้อยละ 2 ที่ขลิบ และการขลิบที่ทำในเด็กโดยไม่มีเหตุผลทางการแพทย์ถือว่าผิดกฎหมายสวีเดน เหตุผลทางการแพทย์ที่ทำให้ควรขลิบหนังหุ้มปลาย ปัจจุบันมีเพียง 3 อย่างที่แพทย์เห็นตรงกันว่าทำให้ผู้ป่วยควรมาขลิบ คือ

1. หนังหุ้มปลายไม่เปิด
(Phimosis) หนังหุ้มปลายในเด็กแรกเกิดส่วนใหญ่จะไม่เปิด คือมีทารกเพียงร้อยละ 4 เท่านั้นที่มีหนังหุ้มปลายรูดเปิดได้ แต่หลัง 3 ขวบจะค่อยๆ รูดเปิดได้ พบว่าหลังอายุ 5 ขวบเด็กส่วนใหญ่รูดเปิดหนังหุ้มปลายได้ ร้อยละ 98-99 ของผู้ชายอายุ 18 สามารถรูดเปิดหนังหุ้มปลายได้

2. มีการอักเสบที่ปลายอวัยวะเพศ (Balanitis) ผู้ชายบางคนที่มีหนังหุ้มปลายรูดเปิดยาก หรือไม่ค่อยรูดเปิดทำความสะอาด หรือในบางรายที่แพ้สบู่ น้ำยาซักผ้า หรือน้ำยาฆ่าอสุจิในถุงยางอนามัย จะมีการอักเสบที่ปลายอวัยวะเพศ และอาจมีการติดเชื้อยีสต์แทรกซ้อนได้ ถ้าเป็นบ่อยๆ อาจจำเป็นต้องขลิบ

3. ในผู้ชายที่มีหนังหุ้มปลายรัดตึง
จนมีอาการเจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์ ควรขลิบ

การขลิบป้องกันมะเร็งของอวัยวะเพศชายได้จริงไหม ?


ไม่ มีหลักฐานยืนยันชัดเจนในกรณีนี้ ปัจจัยที่ชัดเจนของการเกิดมะเร็งอวัยวะเพศชายคือ การดูแลทำความสะอาดบริเวณนี้ไม่ดี และการสูบบุหรี่ ที่น่าสนใจคือในประเทศที่มีการขลิบสูงสุด คือสหรัฐอเมริกากลับเป็นประเทศที่มีมะเร็งอวัยวะเพศชายสูงสุดเช่นกัน

การขลิบช่วยลดโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ได้จริงหรือไม่ ?


ยัง เป็นข้อโต้แย้งกันอยู่ว่า การขลิบช่วยลดการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือไม่ ที่น่าแปลกคือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บางอย่างพบมากในผู้ที่ไม่ขลิบ แต่บางโรคกลับพบมากในผู้ที่ขลิบแล้ว คือ ผู้ที่ไม่ขลิบจะมีการติดเชื้อ Chlamydia ทำให้มีท่อปัสสาวะอักเสบ (ซึ่งระบาดมากในอังกฤษ) สูงกว่า ส่วนผู้ที่ขลิบจะเป็นหูดหงอนไก่สูงกว่า และยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าการขลิบลดการติดเชื้อไวรัส HIV ที่ทำให้เกิดโรคเอดส์ แต่ที่แน่นอนคือการสวมถุงยางอนามัยลดการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรค เอดส์ได้แน่นอน

การขลิบนั้นอาจพบ ข้อแทรกซ้อนได้ร้อยละ 2 ข้อแทรกซ้อนที่พบคือ เลือดออก ติดเชื้อ มีปัญหาทางจิตใจ และปัญหาเวลามีเพศสัมพันธ์ ผู้ที่มีหนังหุ้มปลายไม่เปิดหรือเปิดลำบาก นอกจากการขลิบแล้ว อาจลองใช้ครีมสเตียรอยด์ทา ใช้ครีมหล่อลื่นทาแล้วค่อยๆ รูดให้เปิดเวลาอวัยวะเพศอ่อนตัว ถ้าทำได้ง่ายแล้วก็ค่อยๆ รูดเปิดช่วงที่อวัยวะเพศแข็งตัวในระดับแข็งน้อยไปจนแข็งมาก แต่หากเริ่มทำครั้งแรกตอนอวัยวะเพศแข็งตัวเต็มที่ก็อาจรูดกลับไม่ได้ทำให้มี เลือดคั่งและเจ็บปวด อย่างนั้นต้องรีบไปพบศัลยแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะ

ที่มา : ผู้หญิงน่ะค๊ะดอทคอม

ขนาดอวัยวะเพศชายสำคัญอย่างไร

Monday, August 10, 2009

ผู้ชายส่วนใหญ่ เป็นกังวลเกี่ยวกับ ‘ลักษณะเฉพาะ’ ของอวัยวะเพศตนเอง โดยเฉพาะเมื่อถึงนาทีของการสอดใส่ ความกังวลนี้เป็นสาเหตุของความเครียดทางเพศของผู้ชาย ทำให้อวัยวะเพศหย่อนประสิทธิภาพในการแข็งตัว บางรายต้องบำบัดด้วยยา แต่บางกรณีก็ไม่จำเป็น แค่หยุดวิตกกังวลเกี่ยวกับขนาดอวัยวะเพศตนเองก็เกินพอ

ผู้ชายควรยอมรับใน สิ่งที่ตนเองมี แต่ถ้าขนาดยังคงเป็นเรื่องที่ติดค้างอยู่ในใจ ก็คงต้องอาศัย เทคนิค เข้าช่วยปรับปรุงทักษะในการร่วมรัก

การร่วมรักไม่ใช่ เรื่องเข้ายาก แค่สอดวัตถุ A เข้าไปในช่องแคบ B ก็แค่นั้น แต่บางครั้ง วัตถุ A ก็ไม่แนบแน่นพอดีกับช่องแคบ B เสมอไป ดังนั้น ถ้าผู้ชายไม่อยากเสียสุขภาพจิตในเวลาร่วมรัก และต้องการเฉลี่ยความรู้สึกกับคู่รัก ก็ต้องรู้จักใช้สิ่งที่มีอยู่ให้ดีที่สุด

ภายใต้ความหลากหลายของเส้นรอบวง


มากกว่า 5.18 นิ้ว : กรณี ที่อวัยวะของฝ่ายชายมีความหนาเอาการ และช่องคลอดฝ่ายหญิงค่อนข้างเล็ก การร่วมรักมักทำให้ฝ่ายหญิงเจ็บปวดขึ้นมาได้ ดังนั้น ผู้ชายจึงควรใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษในนาทีที่จะเปลี่ยนจากขั้นเล้าโลมไป สู่การร่วมรัก ควรใช้เวลากับการเล้าโลมให้นานมากขึ้น เนื่องจากฝ่ายหญิงยิ่งได้รับการเร้าอารมณ์ทางเพศมากเท่าใด โอกาสที่ช่องคลอดจะขยายตัวก็มีมากเท่านั้น ลองกระซิบถามเธอเป็นระยะ ว่าเธอพร้อมจะให้เข้าไปแล้วหรือยัง เริ่มด้วยการเข้าไปอย่างช้าๆ อาจใช้สารหล่อลื่นหรือน้ำลายช่วยได้ในช่วงแรก

น้อยกว่า 5.18 นิ้ว
:เมื่อ เข้าไป แล้วรู้สึกเคว้งคว้าง เทคนิคที่จะช่วยได้คือ การจัดท่า เน้นให้หัวเข่าฝ่ายหญิงชิดกัน จะทำให้ช่องคลอดอยู่ในลักษณะเหยียดตัวจากบนลงล่าง ไม่ใช่เหยียดตัวออกด้านข้าง (ปากช่องคลอดจะบีบตัวเข้าหากัน)

วิธีการก็คือ ให้ฝ่ายหญิงนอนราบ ยกขาเธอขึ้นให้เกือบชิดทรวงอก (หรือยกขาแล้วงอเข่าลงมา อาจใช้มือช่วยยึดหัวเข่าฝ่ายหญิงให้เกือบชนกันด้วยก็ได้) ฝ่ายชายอยู่ในท่าคุกเข่าบนพื้น กางเข่าคร่อมสะโพกฝ่ายหญิง บีบเข่าตัวเองเข้าหากัน เท่ากับช่วยบีบสะโพกฝ่ายหญิงไม่ให้กางออกได้เหมือนกัน

ภายใต้ความหลากหลายของความยาว


4.4 นิ้วหรือน้อยกว่า
:ใน ช่วงการเล้าโลมทางเพศ ช่องคลอดฝ่ายหญิงมักขยายตัวเกินความจำเป็น ทั้งนี้ก็เพื่อรอรับวัตถุแปลกปลอม แต่หลังจากนั้นไม่นานนัก เมื่อวัตถุแปลกปลอมเข้าไปแล้ว ผนังช่องคลอดจะคืนตัวให้ห่อหุ้มพอดีกับขนาดวัตถุแปลกปลอม

จากปรากฏการณ์ทาง ธรรมชาติข้อนี้ แทนที่จะรีบบุกเข้าไป ฝ่ายชายอาจใช้วัตถุแปลกปลอมของตนเองถูไถบริเวณเชิงกรานภายนอกของฝ่ายหญิง ก่อน พร้อมกับสอดใส่นิ้วมือเข้าไปแทน เพื่อให้ผนังช่องคลอดปรับตัวให้พอดีกับขนาดนิ้วมือ สองสามนาทีหลังจากนั้นจึงส่งวัตถุแปลกปลอมเข้าแทนที่นิ้วมือ ด้วยวิธีนี้ เมื่อผนังช่องคลอดปรับตัวให้พอดีกับขนาดนิ้วมือไปแล้ว เมื่อสอดใส่สิ่งแปลกปลอมเข้าไปฝ่ายชายจะรู้สึกถูกบีบรัดมากขึ้น ส่วนฝ่ายหญิงเองก็จะพลอยรู้สึกไปด้วยว่านี่คือขนาดที่ปกติ

4.4 ถึง 6.5 นิ้ว
:ผู้ชาย ที่รู้วิธีควบคุม ‘ระดับ’ และ ‘จังหวะ’ ของการสอดใส่ จะรู้วิธียั่วเย้าอารมณ์ผู้หญิงให้กระเจิง ประสาทรับสัมผัสส่วนใหญ่ภายในช่องคลอดรวมตัวอยู่กันหนาแน่นบริเวณส่วนนอก (ไม่ลึกนัก) เป็นบริเวณซึ่งขนาดเฉลี่ยของเพศชายจะเข้าไปกระทบโดนได้ทั้งหมดจากการร่วมรัก ในท่าปกติ คือ ฝ่ายหญิงนอนราบ ขาเหยียดตรงธรรมดา ฝ่ายชายร่วมรักจากด้านบนลงไปเช่นกัน

6.6 นิ้วขึ้นไป :ผู้ชาย ที่มีความยาวระดับนี้อาจคิดว่าตนเองมีข้อได้เปรียบเหนือความยาวในระดับที่ น้อยกว่านี้ แต่ผู้หญิงส่วนใหญ่เห็นตรงกัน ว่าการที่ผนังช่องคลอดส่วนหลังถูกชนระหว่างการร่วมรักนั้น เจ็บพอๆ กับที่ผู้ชายถูกบีบลูกอัณฑะนั่นแหละ พูดง่ายๆ คือ อย่าสอดใส่เข้าไปลึกเกินความจำเป็น วิธีที่ดีที่สุด ให้ฝ่ายชายนอนหงาย ให้ฝ่ายหญิงอยู่ด้านบน ขยับตัวควบคุมระดับความลึกตามที่เธอเห็นชอบ

ที่มา : ผู้หญิงน่ะค๊ะดอทคอม

7วิธีห่างไกลหวัด 2009 แบบไคโรแพรคติก

Sunday, August 9, 2009

สถานการณ์ของโรค ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ เอช1 เอ็น1 หรือไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่กำลังแพร่ระบาดในขณะนี้ ทำให้มีจำนวนยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยแนวทางป้องกันหนึ่งที่มีการแนะนำในช่วงนี้ก็คือ การดูแลร่างกายให้มีระบบภูมิต้านทานโรคที่แข็งแรง แต่มีวิธีใดบ้างที่จะทำให้ระบบภูมิต้านทานในร่างกายของเราแข็งแรงขึ้นได้ หล่ะ ?

ดร.ทอม สมิธ ไคโรแพรคเตอร์จาก ประเทศสหรัฐอเมริกา ประจำคลินิกกายภาพบำบัดดีสปายน์ ไคโรแพรคติก กล่าวถึงความการทำงานของร่างกายที่มีผลต่อภูมิต้านทานของร่างกายว่า เพราะทุกระบบ ทุกส่วนในร่างกายมีความสัมพันธ์กันหมด โดยมีสมองและศูนย์กลางของระบบประสาทคอยทำหน้าที่รับผิดชอบเชื่อมโยงร่างกาย และเซลล์ต่างๆ ซึ่งมีความหมายมาก ถ้าหากสมอง ศูนย์กลางระบบประสาททำงานได้ดี ร่างกายก็จะมีความแข็งแรง แต่ถ้าหากการทำงานเสื่อมลง หรือมีการติดขัดของเซลล์ หรือบางระบบภายในร่างกาย ก็จะทำให้ไม่สามารถทำงานได้ ติดขัด ร่างกายก็จะอ่อนแอลง เนื่องจากระบบภูมิต้านทานอ่อนแอ จึงเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วย เพราะระบบภูมิต้านทานร่างกาย (Immune System) คือระบบภูมิคุ้มกันทั้งหมดของร่างกายที่ทำหน้าที่คอยป้องกันไม่ให้เชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาทำอันตรายและทำลายเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย

ด้านนางบัณลักข ถิรมงคล ผู้อำนวยการคลินิกกายภาพบำบัดดีสปายน์ ไคโรแพรคติก กล่าวว่า แนว ทางในการดูแลรักษาสุขภาพแบบไคโรแพรคติกนั้น ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ซึ่งการดูแลระบบโครงสร้างร่างกาย การทำงานของกระดูสันหลัง กล้ามเนื้อ ระบบประสาท ให้อยู่ในสภาพที่ดี สมดุล ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้สารอาหารที่มีประโยชน์ต่างๆ ไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้อย่างเต็มที่ มีความสำคัญต่อระบบภูมิต้านทานที่แข็งแรงของร่างกายมาก ซึ่งในช่วงนี้มีประชาชนที่มารับการบริการรักษาที่คลินิกเป็นจำนวนมากต่าง ตื่นตัว ซึ่งนอกจากไคโรแพรคเตอร์ จะให้การรักษา ปรับ คืนความสมดุลให้กับระบบโครงสร้างร่างกาย แก้ไขปัญหากระดูกเคลื่อน ชะลอการเสื่อมสภาพของกระดูกสันหลังฯลฯ เพื่อให้ระบบเชื่อมต่อในร่างกายต่างๆ ทำงานได้สมดุล มีประสิทธิภาพ ก็จะให้ความรู้ ถึงแนวทางในการดูแลรักษาสุขภาพในชีวิตประจำวัน

เพื่อสร้างภูมิต้านทานที่แข็งแรงให้ร่างกายตามแนวทางของศาสตร์การแพทย์ไคโรแพรคติกดังนี้

1. ควรดื่มน้ำสะอาดเป็นประจำทุกวัน
โดยเฉพาะช่วงเช้าเวลาตื่นนอน และช่วงระหว่างวัน เฉลี่ย 1.5 ลิตร จะช่วยทำให้ร่างกายขจัดของเสียออกจากร่างกายได้เร็วขึ้น เพราะน้ำจะช่วยเพิ่มสารคัดหลั่งและความชุ่มชื้นของเยื่อบุผิวในท่อทางเดิน หายใจส่วนบนที่จะช่วยป้องกันและดักจับฝุ่นละอองหรือเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่าง กาย นอกจากนั้นยังช่วยให้เซลล์ในร่างกายคงรูปทำงานได้อย่างปกติ เพื่อสามารถนำอาหารไปเลี้ยงกล้ามเนื้อต่างๆ และช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของกล้ามเนื้อ กระดูก และช่วยหล่อไขข้อต่างๆ ของร่างกายอีกด้วย

2.รับประทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะ
เช่นผักสด และผลไม้ ที่อุดมไปด้วยสารอาหารพวกเบต้าแคโรทีน วิตามินซี อี บี เช่น ฟักทอง แครอท ผักบุ้ง มะละกอ มะเขือเทศ ส้ม มะนาว ฝรั่ง ข้าวกล้อง ผักใบเขียว ถั่ว และกระเทียม (ควรเลือกผัก ผลไม้ อินทรีย์ ปลอดสารพิษ) เพื่อช่วยในเรื่องของการเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกาย โดยเฉพาะกระเทียมจะมีสารอัลลิซิน (Allicin) และซัลไฟด์ (Sulfides) จะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ในระบบภูมิต้านทาน มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรค ที่สำคัญที่สุดควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่มีประโยชน์ และทำให้ระบบภูมิต้านอ่อนแอลง เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ อาหารที่ปรุงด้วยผงชูรส หรืออาหารที่มีรสหวาน และรสจัด

3.ควรรักษาความสะอาดส่วนต่างๆของร่างกายอยู่เสมอ เพื่อลดการสะสมของเชื้อแบคทีเรียและเชื้อโรคต่างๆ ที่จะทำให้ร่างกายอ่อนแอลง โดยควรล้างมือบ่อยๆ และแปรงฟันหลังอาหารอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และควรสอนใช้ไหมขัดฟันเพื่อกำจัดเชื้อโรคตามซอกฟัน

4.ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและพอเหมาะ ไม่หักโหมเกินไป เพื่อรักษาสภาวะภูมิต้านทานที่ดี

5.พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ อย่างต่ำวันละ 7 ชั่วโมง เพราะการนอนไม่พอนั้นมีผลต่อการสร้างเซลล์ในระบบภูมิต้านทาน เช่น แอนติบอดี

6.พยายามลดความเครียด เพราะอารมณ์เครียดจะส่งผลให้เกิดการเคลื่อนของกระดูกสันหลัง และยังทำให้ร่างกายเพิ่มการหลั่งฮอร์โมนที่มีฤทธิ์กดภูมิต้านทานของร่างกาย ทำให้ภูมิต้านทานต่อโรคต่างๆ ลดลง คนเครียดจึงมีโอกาสเกิดการติดเชื้อได้ง่าย

7.ควรใช้ผ้าปิดปากปิดจมูกทุกครั้งเวลาอยู่ในที่ชุมชนและคนแออัด เพื่อเป็นการป้องกันเชื้อโรค และหากมีการไอหรือจามควรจะยืดกล้ามเนื้อหลัง และงอเข่าขึ้นมาเล็กน้อย เพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อหลัง หรือข้อกระดูกเคลื่อนที่ เนื่องจาก การไอและจาม ที่รุนแรงจะเกิดแรงสั่นสะเทือนที่มีผลต่อการเคลื่อนที่ของข้อกระดูกในร่าง กายได้ ซึ่งหากเกิดขึ้นก็จะส่งผลต่อการทำงานระบบอื่นๆ ของร่างกาย ทำให้ภูมิต้านทานอ่อนแอลงด้วย

ที่มา : ผู้หญิงน่ะค๊ะดอทคอม

อดตาหลับ ขับตานอน

Saturday, August 8, 2009

โดย ธรรมชาติแล้วร่างกายของเราถูกจัดระบบให้นอนหลับเวลากลางคืน และตื่นกลางวัน แต่หากวันไหนที่เราจำเป็นต้องอดนอน จะทำอย่างไรจึงจะสดใส ไม่หมดแรงเอาดื้อ ๆ วันนี้สามัญประจำบ้านมีมาบอก

จากการวิจัยพบว่า การนอนหลับประมาณ 8 ชม.เป็นระยะเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการนอนที่ดี และเวลากลางวันเมื่อมีแสงสว่าง ต่อมไพเนียลจะหลั่งฮอร์โมนซีโรโตนินออกมาเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายทำกิจกรรม ส่วนกลางคืนซีโรโตนินจะลดระดับลงเพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อน รวมทั้งต่อมไพเนียลจะหลั่งฮอร์โมนเมลาโตนิน ออกมาเพื่อให้ร่างกายง่วงนอน จนกระทั่งใกล้เช้า ก็จะลดลงทำให้เราตื่นมาพอดี หากว่าเราอดนอนถือว่าเป็นการฝืนธรรมชาติอาจทำให้ร่างกายเสียสมดุลและทำให้ เจ็บป่วยได้

เวลาเราอดนอน จะสังเกตได้ว่าบางครั้งจะมีอาการเหนื่อย อ่อนเพลีย ปวดและเวียนศีรษะ ระบบย่อยอาหารทำงานผิดปกติ เกิดอาการท้องผูก ความดันสูง ซึมเศร้า ท้อแท้ และถ้าหากอดนอนสะสมมาก ๆ อาจร้ายแรงถึงขั้นระบบประสาททำงานผิดปกติ จนเกิดอาการประสาทหลอนได้

ดังนั้น หากแหงนมองนาฬิกาเลยเวลาเที่ยงคืนไปแล้ว แต่ยังไม่ได้นอน ไม่แนะนำให้ดื่มกาแฟ เพราะจะทำให้มีอาการวิงเวียนศีรษะ และไม่ควรดื่มนมวัว เพราะมีไขมันสูง ใช้เวลาในการย่อย 3-4 ชั่วโมง จะเป็นการรบกวนกระเพาะอาหาร ควรรับประทานอาหารอุ่น ๆ ย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก ข้าวเหนียว หรือกล้วยนำไปอุ่นให้ร้อน

ขณะเดียวกัน หากตื่นมาแล้วรู้สึกเพลียจากการนอนดึก แนะนำให้อาบน้ำหรือแช่น้ำอุ่นจัด ๆ ประมาณ 3 นาทีและอาบน้ำเย็นอีก 2 นาทีสลับไปมา 3 รอบ จะทำให้ร่างกาย กระฉับกระเฉงขึ้นมากกว่าการดื่มกาแฟหรือชาร้อนในตอนเช้าเสียอีก นอกจากนี้ ควรรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซีและบี เพื่อช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของร่างกาย อาทิ ข้าวกล้อง ผัก ผลไม้สด ๆ
เพียง แค่นี้ ก็สามารถช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวจากอาการนอนดึกได้แล้ว แต่ทางที่ดีแนะนำว่าอย่านอนดึกจนติดเป็นนิสัยจะดีกว่า เพราะร่างกายของเราไม่มีอะไหล่ให้เปลี่ยนบ่อย ๆ เหมือนเครื่องจักรนะจ้ะ

ที่มา : เดลินิวส์

ลดน้ำหนักด้วยสมุนไพร

Friday, August 7, 2009

งานวิจัยทางการแพทย์สมัยใหม่พบว่า สมุนไพรหลากชนิดที่หาได้ง่ายในครัว มีผลช่วยเร่งการเผาผลาญพลังงาน ทำให้ลดน้ำหนักเร็วขึ้น

ขิง

ความ เผ็ดร้อนของขิงช่วยเร่งกระบวนการการใช้พลังงานของร่างกาย เพิ่มเมแทบอลิซึม ทั้งยังมีเอนไซม์ต่างๆ ที่ช่วยในการย่อยอาหารมากกว่ามะละกอถึง 180 เท่า แถมช่วยลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ ทำให้พุงหายป่องได้ทันตา

จมูกข้าวสาลี
จมูก ข้าวสาลี หรือ "Wheat Germ" มีโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญกว่า 30 ชนิด นับเป็นแหล่งพลังงานขั้นดีที่ย่อยง่าย ดูดซึมไปใช้ได้ทันที ไม่เหลือตกค้าง ที่สำคัญให้พลังงานต่ำ

เกรปฟรุต
กินเพียงวันละ 3 ครั้ง ครั้งละครึ่งผล จะกินพร้อมอาหารเช้าหรือเป็นของว่างยามสาย บ่ายก็ได้ ช่วยให้ควบคุมน้ำหนักได้ดี ยิ่ง ถ้าออกกำลังกายสัปดาห์ละ 4-5 ครั้งอย่างต่อเนื่องควบคู่ไปด้วย รับรองว่าน้ำหนักลดลงแน่ เพราะสารสำคัญในเกรปฟรุต ช่วยปรับสมดุลการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อน ทำให้ร่างกายควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี จึงควบคุมความหิวและความอยากของหวานได้ดีขึ้น สารสำคัญในเกรปฟรุต ช่วยปรับสมดุลการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อน ทำให้ร่างกายควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี

ขมิ้น
ช่วยย่อยอาหาร ลดการอักเสบต่างๆ ในร่างกาย ทำให้แผลหายเร็ว ต่อต้านการสะสมของไขมันและป้องกันเบาหวาน งาน วิจัยจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียในสหรัฐอเมริกา พบว่าเมื่อให้หนูทดลองกินอาหารที่ผสมสารสกัดจากขมิ้นเคอร์คูมิน (Curcumin) น้ำหนักตัวของหนูไม่เพิ่มขึ้น แถมลดลง ทั้งๆ ที่กินอาหารที่ให้พลังงานและไขมันสูง เมื่อเทียบกับกลุ่มหนูทดลองที่ไม่ได้กินเคอร์คูมิน ทั้งนี้เพราะสารเคอร์คูมินเป็นแอนติออกซิแดนท์ที่ดี ช่วยลดการอักเสบและการสะสมไขมัน

ชาเขียว
ช่วย ลดภาวะความเสื่อมของเซลล์และเนื้อเยื่อ เพิ่มภูมิต้านทาน เพิ่มการเผาผลาญไขมัน ทั้งยังช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด ลดคอเลสเตอรอล ลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งด้วยแอนติออกซิแดนท์ที่เรียกว่า "พอลิฟินอล" (Polyphenol) และ "คาเตชิน" (Catechin)

ชาดอกชบา (Hibiscus Tea)
ไม้ ดอกตระกูลชบาและพู่ระหงที่พบในอเมริกาและแอฟริกา มีเอนไซม์ที่สำคัญที่ช่วยลดการดูดซึมของไขมันและอาหารจำพวกแป้งจากทางเดิน อาหาร คล้ายกับสารสกัดจากถั่วขาว แต่ดีกว่าตรงที่ไม่ทำให้ท้องอืด ชาแดงชนิดนี้มีคุณสมบัติช่วยล้างของเสียออกจากลำไส้ จึงมักเป็นส่วนผสมในชาดีท็อกซ์ทั้งหลาย ลดอาการบวมน้ำในผู้หญิงก่อนมีประจำเดือน หรือผู้หญิงวัยทอง ที่สำคัญ มีวิตามินซีสูงและไม่มีกาเฟอีน แถมช่วยควบคุมคอเลสเตอรอลและภาวะความดันโลหิตสูงอีกด้วย

ช็อกโกแลต
งานวิจัยจากไต้หวันพบว่า โกโก้หรือช็อกโกแลตมี "ฟลาโวนอยด์" (Flavonoid) ซึ่งเป็นสารแอนติออกซิแดนท์ที่มีประโยชน์ในการสลายไขมัน งาน วิจัยจากมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ยังยืนยันว่า โกโก้และช็อกโกแลตมีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านความชรา เพราะมีสารแอนติออกซิแดนท์สูงกว่าชาและไวน์อย่างน้อย 2-5 เท่า แต่ ย้ำว่าควรเป็นโกโก้หรือดาร์กช็อกโกแลตชิ้นเล็กๆ เท่านั้น เพราะช็อกโกแลตนมหวานมันนั้น มีน้ำตาลและไขมันสูง นอกจากได้คุณค่าฟลาโวนอยด์น้อยลง ยังส่งผลเสียต่อสุขภาพและรอบเอว

ลองหันมาดื่มชา เขียวและชาแดงแทนกาแฟ กินอาหารที่มีส่วนผสมของขิงและขมิ้น เสริมด้วยเกรปฟรุต และปิดท้ายด้วยดาร์กช็อกโกแลตชิ้นเล็กๆ ทั้งอร่อย สุขภาพดี และเร่งสลายไขมัน

ที่มา : ผู้หญิงน่ะค๊ะดอทคอม

สิว โรคที่ใครๆ ก็รู้ แต่ใช่ว่าใครจะเข้าใจ

Thursday, August 6, 2009

สิวเป็นโรคเกี่ยว กับต่อมไขมันและรูขุมขน มักพบตามใบหน้า หลัง หน้าอก การวินิจฉัยไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไรนัก (แต่ต้องระวังอาการแพ้ตามรูขุมขน ซึ่งพวกนี้อาจทำให้สับสนกับสิวได้ และเมื่อทายา รักษาสิวไปแล้วอาการยิ่งเห่อมากขึ้นเสียอีก) ส่วนใหญ่ก็เริ่มเป็นตั้งแต่ในวัยรุ่น (แต่มีพบได้ในเด็กอายุ 8-9 ขวบ ก็เคยมีรายงาน) และช่วงระยะเวลาของการมีสิว (ACNE LIFE ) จะอยู่ที่ประมาณ 8 -14 ปี ว่ากันว่า 85 % ของกลุ่มวัยรุ่นเป็นสิวไม่มาก และมักซื้อยารักษาเอง ในขณะที่อีก 15 % เป็นสิ่งที่ ค่อนข้างน่ากลัว และกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ต้องปรึกษาแพทย์โดยตรง

มีการเปลี่ยนแปลง (แต่ทำไมถึงมีการเปลี่ยนแปลง ยังไม่มีใครทราบรายละเอียดชัดเจน อาจเป็นจากฮอร์โมน ความเครียด การพักผ่อนน้อย เป็นต้น) ของต่อมรูขุมขนอันเป็นสาเหตุให้เกิดสิว ดังนี้

- มีการเพิ่มการขับน้ำมันจากรูขุมขน
- ท่อรูขุมขนอุดตัน
- แบคทีเรียบริเวณนี้ ทำงานมากเกินไป
- มีการอักเสบ

หลาย คนโดยเฉพาะผู้ใหญ่เจ้านายที่ทำงาน , บริษัทประกันสุขภาพต่าง ๆ ฯลฯ เข้าใจว่าสิวไม่ได้เป็นโรคไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมากมาย เป็นแล้วเดี๋ยวก็หาย เป็นแค่เรื่องของความสวยงาม พวกที่มารักษาก็น่ารำคา ห่วงแต่เรื่องดูดี ดูไม่ดี จริง ๆ แล้วสิวก่อปัญหาได้มากกว่านั้นมากนัก ทั้งในแง่ของสังคม อาชีพ และสภาพจิตใจ เคยมีการทำสำรวจในกลุ่มวัยรุ่นที่เป็นสิว คำตอบที่ได้ส่วนใหญ่คือ ความนับถือตัวเองลดลง รู้สึกประดักประเดิดเวลาอยู่ต่อหน้าผู้คน รู้สึกตัวเองไม่น่ามอง มีวัยรุ่นคนหนึ่ง เคยถูกเพื่อนแหย่เล่นว่า ถ้าผู้หญิงมาหอมแก้มนาย เขาคงดูดติดเอาหนองจากหน้านายออกไปด้วย ลองคิดดูว่าถ้าเป็นลูกหลานเราโดนแหย่เล่นแบบนี้บ้าง สภาพจิตใจจะเป็นอย่างไร ในรายที่เป็นสิวชนิดรุนแรง แน่นอนย่อมมีผลกระทบต่ออาชีพด้วย คิดง่าย ๆ ถ้าหากจะสมัครเป็นพนักงานในร้านเสริมสวย ร้านเครื่องสำอาง ร้านขายเสื้อผ้า ประชาสัมพันธ์ คิดว่านายจ้างจะรับใครระหว่างความสามารถที่ใกล้ เคียงกัน แต่อีกคนมีสิวเขรอะ ดังนั้นปัญหาเรื่องสิวจึงไม่ใช่แต่ว่าผู้ที่มารักษาจะทำตัววิตกจริตเกินไป แต่มันมีผลถึงสภาพจิตใจ อาชีพการงาน และอะไรอีกหลายอย่างชนิดที่ผู้ที่ไม่ผ่านจุดนั้นมาไม่มีทางเข้า ใจถึงได้

สำหรับคนที่เป็นสิวต่อไปนี้เป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจกัน

1. สิวเป็นโรคที่รักษาให้หายได้ (ในช่วงที่รักษา) แต่จะต้องดูแลและป้องกันโดยใช้ยาทาอย่าง ต่อเนื่องตลอดอายุของสิว (ปกติ 8-14 ปี)
2. สิวเป็นโรคที่ตอบสนองต่อยาช้าใน ช่วงแรกของการรักษา แต่ถ้ามีการทำหัตถการอย่างอื่น ร่วม เช่น กดสิว , ฉีดยากรณีสิวอักเสบ , ฟื้นฟูสภาพผิว ก็อาจทำให้การรักษาเห็นผลเร็วขึ้นได้

3. การใช้ยากิน มีความสำคัญในช่วงการรักษา 2-3 เดือนแรก

4. การรักษาสิว และการใช้ยา ต้องพิจารณาถึงแง่ผลดี ผลเสีย ของผลลัพธ์ที่ได้เสมอเช่นการใช้ยาในกลุ่มวิตะมิน A อาจจะดูแรงไป แต่ถ้าเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดแผลเป็น(ตลอดชีวิต)ก็อาจจะคุ้มและได้ผลดี ทั้งนี้ต้องอยู่ในความดูแลของตจแพทย์ (แพทย์ผิวหนัง) อย่างใกล้ชิด

5. หลังจากการรักษา จนถึงหายดีแล้ว แพทย์อาจจะค่อย ๆ ให้หยุดยากิน แต่ทั้งนี้ยังไม่ให้หยุดยาทาโดยเด็ดขาด ควรจะทาต่อสักพักใหญ่ๆ และพิจารณาค่อย ๆ ลดความถี่ลง (มีตัวอย่างมากมาย หลังจากรักษาดีแล้วก็ไม่น่าพบแพทย์อีกเลย อีก 6 เดือนให้หลัง ก็มีสิวขึ้นมาใหม่ก็ต้องเริ่มยากิน - ยาทากันใหม่ )

6. กินยากินอย่างไร
- กลุ่มยาเตตร้าไซคลิน (TETRACYCLINE) ปกติให้กินวันละ 2 ครั้ง และกินก่อนอาหาร 30 นาที ไม่กินร่วมกับนมโดยเด็ดขาด ถ้าลืมกินก่อนอาหารก็ให้กินทันทีที่นึกขึ้นได้
- กลุ่ม ด็อกซีซัยคลิน [DOXYCYCLINE] , มิโนซัยคลิน [MINOCYCLINE], แบคทริม [BACTRIM R], โรแอคคิวเทน [ROACUTAN R] ให้กินหลังอาหาร
7. ทายาอย่างไร
- ยาทาส่วนใหญ่ มักจะต้องทาวันละ 2 ครั้ง บริเวณที่เป็นสิวกว้าง ๆ ไม่ใช่รักษาเฉพาะหัวสิวเท่านั้น เพราะอย่าลืมว่า นอกจากรักษาสิวที่ขึ้นมาแล้ว ยังต้องคุมบริเวณอื่นที่มีแนวโน้มจะมีสิวอีกด้วย
- ยา ทาที่แพทย์แนะนำให้ล้างออก แสดงว่ามีความระคายเคืองสูง ดังนั้นไม่ควรทาทิ้งไว้เด็ดขาด (ปกติคือทิ้งนาน 5-30 นาทีแล้วล้างออก) ที่มักจะแนะนำคือ ทาทิ้งไว้เมื่อรู้สึกแสบคันให้ล้างออก แต่ทั้งนี้ไม่ควรเกิน 30 นาที

8. ใช้อะไรล้างหน้าดี
- เนื่องจากยาทารักษาสิว ยากินบางตัว เช่น ยากลุ่มวิตะมิน A มักจะทำให้มีผิวแห้งขึ้นอยู่แล้ว ดังนั้น การใช้สบู่ควรเป็นสบู่อ่อน ๆ และไม่ถูหน้านานเด็ดขาด (จำไว้ว่าการล้างหน้า ถูหน้านานไม่ช่วยทำให้หน้าหายมันแน่นอน เพราะว่ามันไม่สามารถไปหยุดการทำงานของต่อมไขมันใต้ผิวหนังได้ สักพักหน้าก็จะมันใหม่ ยิ่งถูหน้าแรง ถูหน้านาน ต่อมไขมันยิ่งถูกกระตุ้นยิ่งผลิตไขมันออกมามากขึ้น) ดังนั้นนอกจากหน้าไม่หายมันแล้วยังได้ของแถมคือการมีผิวหนังอักเสบแดงเป็น ขุยเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย ปกติที่แนะนำคือใช้ปริมาณสบู่อ่อน ๆ หรือครีมล้างหน้าอ่อน ๆ แต่น้อย ถูมือ 2-3 วินาที และลูบไล้หน้า 2-3 วินาทีแล้วล้างออก อาจจะรู้สึกลื่น ๆ หรือล้างไม่เกลี้ยงในช่วงแรก ๆ แต่พอเช็ดหน้าความรู้สึกมัน ๆ ก็หายไปเอง อีกอย่างที่ควรตระหนักก็คือล้างหน้าด้วยสบู่อ่อน ๆ หรือน้ำเปล่า โดยถูหน้าไม่นาน (2-3 วินาที) วันละหลาย ๆ ครั้ง เพื่อให้รู้สึกใบหน้าสดชื่นดีกว่า การถูหน้านาน ๆ (ครั้งละเป็นหลายสิบ วินาที) วันละ 1-2 ครั้ง (ซึ่งทำให้หน้าระคายเคืองเรียบร้อยแล้ว)
- เนื่อง จากหน้าจะแห้งลงอยู่แล้ว ควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำอุ่นล้างหน้า สระผม ระลึกไว้เสมอ ว่าการสระผมด้วยน้ำอุ่น จะทำให้หน้าโดนน้ำอุ่นมากกว่าล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นโดยตรงเสียอีก

9. เรื่องแผลเป็นจะทำอย่างไรดี
ก่อน อื่นต้องตระหนักว่าหลักการ ของการรักษาสิว คือต้องรักษาและป้องกันสิวให้เต็มที่ และให้หายก่อนมีแผลเป็น เพราะว่าเมื่อเป็นแผลเป็นแล้ว โอกาสแก้ไขก็ยากเต็มที แต่โดยทั่วไปแล้วผู้ป่วยที่ เป็นสิวจะมีแผลเป็นในระดับหนึ่งซึ่งไม่มาก และเมื่อแผลหายแดงแล้ว แผลเป็นจะดูดีขึ้น ตื้นขึ้น โดยปกติแล้วจะยอมรับได้ระดับหนึ่ง ในกรณีที่เป็นมากและเป็นลึกอาจต้องพิจารณาแก้ไขให้เป็นราย ๆ ไป เช่น การแต้มกรด TCA , การทำศัลยกรรมขัดผิว ( โดยใช้เลเซอร์หรือเครื่องกรอ) ในกรณีที่เป็นนูนก็ พิจารณาการฉีดยาละลายแผลเป็นนูนให้

10. ฟังคำแนะนำจากใครดี
ปัญหา ที่เจอบ่อยมากคือ หลังจากรักษาไปสักพักโดยเฉพาะการใช้ยากินบางตัว (กลุ่มวิตะมิน A) พวกเรามักจะกลับมาด้วยคำถามหลังจากไปคุยกับเพื่อน ๆ หรือญาติพี่น้องมา เช่น จะเป็นหมันไหม ? ยานี้เป็นยาฮอร์โมนหรือเปล่า จำไว้อย่างหนึ่งว่าการได้ถกคุยกับแพทย์ ผู้รักษาเป็นเรื่องที่ดีและจำเป็น การรู้ข้อมูลเกี่ยวกับยาบางตัวก็เป็นเรื่องสำคัญ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นควรต้องเปิดใจให้กว้าง และควรเชื่อผู้ที่เชี่ยวชามากกว่า บางครั้งก็น่าน้อยใจเหมือนกันที่บางคนมาพูดว่า เพื่อนหนูบอกว่า....... แล้วเพื่อนหนูทำอะไรครับ เป็นช่างเสริมสวยค่ะ อ้าว!! แล้วหนูเชื่อช่างเสริมสวยมากกว่าหมอหรอกหรือ ?


11. เรื่องแผลเป็นจะทำอย่างไรดี
ก่อน อื่นต้องตระหนักว่าหลักการของการรักษาสิว คือต้องรักษาและป้องกันสิวให้เต็มที่ และให้หายก่อนมีแผลเป็น เพราะว่าเมื่อเป็นแผลเป็นแล้ว โอกาสแก้ไขก็ยากเต็มที แต่โดยทั่วไปแล้วผู้ป่วยที่ เป็นสิวจะมีแผลเป็นในระดับหนึ่งซึ่งไม่มาก และเมื่อแผลหายแดงแล้ว แผลเป็นจะดูดีขึ้น ตื้นขึ้น โดยปกติแล้วจะยอมรับได้ระดับหนึ่ง ในกรณีที่เป็นมากและเป็นลึกอาจต้องพิจารณาแก้ไขให้เป็นราย ๆ ไป เช่น การแต้มกรด TCA , การทำศัลยกรรมขัดผิว ( โดยใช้เลเซอร์หรือเครื่องกรอ) ในกรณีที่เป็นนูนก็ พิจารณาการฉีดยาละลายแผลเป็นนูนให้

อย่างที่กล่าวไป ตั้งแต่ต้นแล้วว่าเรื่องของสิวมีบางแง่มุมที่เราจะยังไม่เข้าใจถ่องแท้ดี บทความ เหล่านี้คงช่วยให้เข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ ได้ดีขึ้น ไม่ว่าในแง่ของคนรอบข้างจะเข้าใจหัวอกคนที่เป็นสิวมาก ขึ้น หรือคนที่เป็นสิวเองจะรู้จักวิธีดูแลปฏิบัติตัวทั้งในช่วงรักษาและป้องกัน อย่างไรก็ตามถ้ามีปัญหา อะไรที่ยังสงสัยอยู่ก็สามารถปรึกษาถามรายละเอียดกับแพทย์ผิวหนังทั่วไปได้ ตลอดนะครับ


นพ.สุรพล ลิขิตวัฒนานุรักษ์ พ.บ., วท.ม. (ตจวิทยา)
อนุมัติบัตรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง